เปิดมาตรการ Hard-kill (ฉบับยาวไปไม่อ่าน)
- ช่วงปลายเดือนกรกฎาคมถึงต้นสิงหาคม 2568 ไทยเผชิญภัยคุกคามใหม่ เมื่อโดรนไม่ทราบฝ่ายจากกัมพูชาล้ำเข้ามาใกล้ฐานทหารหลายจุดบริเวณชายแดนตะวันออก แม้เคยพยายามใช้มาตรการ “Soft Kill” เช่น รบกวนสัญญาณ แต่โดรนยุคใหม่กลับบินเป็นฝูง เจาะคลื่นรบกวนได้อย่างแม่นยำ ทำให้แนวป้องกันเดิมเริ่มใช้ไม่ได้ผล
- กองทัพไทยจึงประกาศยกระดับสู่มาตรการ Hard Kill เป็นครั้งแรก นั่นคือการ ทำลายเป้าหมายทางกายภาพทันที โดยใช้อาวุธล้ำสมัย เช่น เลเซอร์พลังงานสูง ปืนกลควบคุมระยะไกล และอุปกรณ์ยิงตาข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ ทุกระบบเชื่อมต่อกันผ่านเครือข่ายควบคุม C2 ที่ตอบสนองได้ในระดับวินาที
- ภาพการทดสอบยิงเลเซอร์กลางคืนจากกองบิน 1 ไม่เพียงเป็นภาพสัญลักษณ์ของความพร้อมเชิงเทคโนโลยี แต่ยังเป็นคำเตือน ไปยังผู้ที่คิดล้ำแดน ว่าไทยจะไม่อดทนหากภัยคุกคามวิ่งสวนเส้นแดง โดยเฉพาะในช่วงที่ภูมิรัฐศาสตร์ชายแดนเริ่มตึงเครียดมากขึ้น
- แม้มาตรการ Hard Kill จะช่วยลดภัยระดับต่ำได้ในระยะสั้น แต่ปัญหาใหม่ก็ตามมา ทั้งโดรนบินสูง, ข้อจำกัดเลเซอร์ต่อสภาพอากาศ และกฎหมายที่ยังไม่รองรับอย่างรัดกุม ทำให้ไทยต้องเร่งพัฒนาระบบป้องกันหลายชั้นแบบ Iron Dome และวางรากฐานทางกฎหมาย-การทูตให้แข็งแรงควบคู่กัน
- มาตรการนี้จึงเป็นมากกว่าการป้องกันน่านฟ้า แต่คือหมากตาใหม่ในเกมความมั่นคง ที่ไทยเลือกเปิดหน้าไพ่ ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย เพื่อสร้างความมั่นใจภายในประเทศ และอำนาจต่อรองในภูมิภาคอย่างชัดเจน
การปรากฏตัวของโดรนไม่ทราบฝ่ายเหนือแนวชายแดนไทย-กัมพูชาในช่วงปลายกรกฎาคมถึงสิงหาคม 2568 จุดประกายความวิตกทางยุทธศาสตร์อีกครั้ง หลังทหารไทยตรวจพบอากาศยานไร้นักบินบินต่ำใกล้ฐานกำลังรบหลายจุด และมีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าส่วนหนึ่งทะยานข้ามพรมแดนมาจากฝั่งกัมพูชาเพื่อสอดแนมหรือปรับแก้ยิงจรวด
แม้กลไก Soft Kill เช่นการรบกวนสัญญาณถูกใช้งานมาระยะหนึ่ง ทว่าลักษณะการบินเป็นฝูงและความสามารถทะลุคลื่นรบกวนของโดรนยุคใหม่เริ่มลดประสิทธิผลแนวป้องกันเดิมลงอย่างมีนัยสำคัญ กองทัพบกจึงประกาศยกระดับเป็น Hard Kill ซึ่งหมายถึงการทำลายทางกายภาพโดยพลัน ไม่ใช่เพียงตัดสัญญาณบังคับ
คำสั่งยกระดับถูกส่งตรงไปยังกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดริมแดนเพื่อเปิดไฟเขียวนำอาวุธปลิดชีพโดรนเข้าเตรียมพร้อม ทั้งระบบยิงเลเซอร์พลังงานสูงที่กองบิน 1 ทดสอบได้ผลกลางคืน
ปืนกลควบคุมระยะไกลพร้อมกระสุนจุดระเบิดอากาศ และเครื่องสกัดกระแสไฟฟ้าแรงสูงแบบยิงตาข่ายอัจฉริยะ ผลักดันให้ไทยก้าวเข้าสู่ยุคการป้องกันน่านฟ้าชั้นต่ำเชิงรุกเต็มรูปแบบครั้งแรกนับแต่สงครามร่มเกล้า
**สงครามร่มเกล้า คือความขัดแย้งชายแดนไทย-ลาวช่วงปี 2530–2531 จากข้อพิพาทเรื่องเขตแดนที่เกิดจากการตีความแผนที่ต่างกันระหว่างไทยกับฝรั่งเศส
อะไรผลักดันให้ไทยยกระดับการป้องกันสู่ Hard Kill
เหตุการณ์เหยียบกับระเบิดและการยิงปะทะซ้ำซากตลอดแนวตะเข็บอุ้มผาง-ตาพระยา ทำให้ฝ่ายความมั่นคงประเมินว่าการสอดแนมด้วยโดรนของกัมพูชาไม่ได้มีเป้าหมายเพียงจิตวิทยาการเมือง แต่เอื้อให้ฝ่ายตรงข้ามแก้พิกัดยิงปืนใหญ่จรวดและติดตามขีดความพร้อมไทยแบบเรียลไทม์
ขั้นแรก กองทัพใช้มาตรการห้ามโดรนทุกประเภททั่วราชอาณาจักรเพื่อเคลียร์พื้นที่สัญญาณ ขั้นต่อมาสถิติการตรวจจับยังไม่ลดลง สะท้อนว่า Soft Kill เริ่มไม่เพียงพอ
การตัดสินใจจึงใช้หลักคิดที่ว่า “ภัยคุกคามหากวิ่งสวนเส้นสีแดงต้องถูกหยุดก่อนถึงตัวกำลังพล” กล่าวคือ หากโดรนแทรกผ่านเขตควบคุมและยังไม่ตอบสนองข้อสั่งห้าม หน่วยพื้นที่มีสิทธิสังหารทันทีโดยใช้อาวุธประจำหน่วยหรือระบบเลเซอร์แม่นยำ
การเลื่อนระดับนี้สัมพันธ์กับแนวโน้มสากลที่เปลี่ยนจากการรบกวนสัญญาณเป็นการกำจัดเป้าหมายโดยตรง โดยได้อิทธิพลจากบทเรียนสงครามยูเครนและตะวันออกกลางซึ่งแสดงให้เห็นว่าโดรนราคาถูกสามารถก่อความเสียหายได้สูงหากไม่ถูกสอยกลางอากาศก่อนที่มันจะทำภารกิจสำเร็จ
ศักยภาพเทคโนโลยี Hard Kill ไทย
ศูนย์ทดสอบอาวุธทางอากาศกองบิน 1 ใช้เลเซอร์กำลังสูงสั่งงานผ่านเรดาร์ตรวจจับจุดภายในระยะ 5-7 กิโลเมตร สามารถเผาชุดควบคุมโดรนระดับพาณิชย์จนตกในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที
ขณะเดียวกันกองทัพภาค 2 เปิดข้อมูลสาธิตชุด Directed Energy Weapon รหัส DEW-ThA1 ซึ่งยึดหลักเดียวกับแนวคิด Iron Beam ของอิสราเอลในการประหยัดต้นทุนต่อเป้าหมาย
อีกฟากหนึ่ง ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านอากาศยานภาคพื้นติดตั้งแท่นยิงกระสุน 30 มิลลิเมตรชนวนจุดระเบิดอัตโนมัติแบบ Airburst ที่คำนวณวิถีผ่านเรดาร์เคลื่อนที่ เพิ่มโอกาสทำลายโดรนความเร็วสูงกว่า 400 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
การเสริมยุทโธปกรณ์ใหม่ดังกล่าวไม่ใช่การลอกแบบเทคโนโลยีต่างชาติเท่านั้น แต่เป็นการประยุกต์องค์ความรู้ภายใน เช่นโครงการวิจัยระบบเกราะ Hard Kill ป้องกันยานเกราะของสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศที่ต่อยอดเซนเซอร์เรดาร์-LIDAR มาสู่สนามป้องกันน่านฟ้าต่ำ
ผลลัพธ์คือไทยมีระบบเลเซอร์-ปืนใหญ่-จรวดสกัดที่เชื่อมผ่านเครือข่าย C2 แบบกระจายศูนย์ ลดช่องว่างตอบสนองจากนาทีเป็นวินาที และลดภาระคลังกระสุนด้วยต้นทุนต่อนัดต่ำกว่า Soft Kill Jammer ขั้นสูงหลายเท่า
เหตุผลของการเปิดมาตรการ Hard Kill ต่อสาธารณะ
เดิมทีการจัดหาหรือทดสอบอาวุธเลเซอร์มักเป็นข้อมูลชั้นความลับระดับสูง แต่คราวนี้รัฐไทยเลือกประกาศผ่านสื่อหลัก พร้อมเผยภาพทดสอบยิงกลางคืนและข้อความ “หากศัตรูซ่อนตัวในเงามืด เราจะเป็นแสงที่มองเห็นมันก่อนใคร”
การเปิดเผยมีมิติยุทธศาสตร์ชัดเจน ประการแรกคือการส่งสัญญาณยับยั้งไปยังฝ่ายตรงข้ามว่าการล้ำแดนจะได้รับผลตอบแทนทันที ช่วยลดแรงจูงใจในการใช้โดรนสอดแนมต่อไป
ประการที่สอง รัฐบาลต้องฟื้นความเชื่อมั่นภายในประเทศหลังถูกวิจารณ์ว่าแก้ปัญหาช้าและสื่อสารไม่ทันข่าวลือข้ามแดน
การเผยแพร่คลิปสาธิตยิงเลเซอร์จึงมีความหมายในเชิง ภาพลักษณ์เชิงอำนาจที่สร้างความรู้สึกว่ารัฐมีเทคโนโลยีป้องกันขั้นสูง พร้อมปกป้องชีวิตประชาชนตามหลักความมั่นคง
ประการที่สาม ไทยกำลังถูกจับตาในเวทีอาเซียนเรื่องการจัดสมดุลระหว่างการป้องกันชายแดนกับการรักษาบรรยากาศเจรจา ท่าทีเปิดหน้าเทคโนโลยีแต่ย้ำใช้เฉพาะในพระราชอาณาจักร จึงกลายเป็นการสื่อสารเชิงทูตสาธารณะว่าไทยยังยึดหลักป้องกันตนเอง ไม่ขยายปริมณฑลปฏิบัติการไปนอกเขตแดน
ขณะเดียวกันยังช่วยดึงดูดความร่วมมืออุตสาหกรรมป้องกันประเทศระดับภูมิภาคผ่านการแสดงศักยภาพวิจัยของไทยในสายตาพันธมิตร
ผลกระทบและความท้าทายหลังบังคับใช้
หลังประกาศ Hard Kill อัตราการแจ้งพบโดรนในพื้นที่ส่วนหลังลดลงชัดเจนภายในหนึ่งสัปดาห์ แต่สัญญาณเรดาร์ชายแดนยังพบการบินลาดเลาระยะสูงเป็นระยะ
นั่นสะท้อนว่ามาตรการใหม่หยุดภัยคุกคามระดับล่างได้บางส่วน ทว่าการพึ่งพาเลเซอร์ยังมีข้อจำกัดเรื่องสภาพอากาศและพลังงาน ทำให้ไทยต้องเร่งกระจายแพลตฟอร์มสกัดหลายชั้นแบบเดียวกับโดมเหล็กอิสราเอลหรือ LAMD เกาหลีใต้ เพื่ออุดช่องว่างระหว่างเพดานยิงและพื้นที่ป้องกัน
ด้านกฎหมาย จำเป็นต้องตราพระราชบัญญัติรักษาความมั่นคงไซเบอร์และน่านฟ้าต่ำให้ครอบคลุมสิทธิตรวจค้นอุปกรณ์ควบคุมโดรนพลเรือน ป้องกันผลกระทบทางแพ่งเมื่อเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินประชาชน
ในทางสังคม รัฐต้องสื่อสารให้เกิดความเข้าใจว่าคำสั่งทำลายโดรนไม่ได้มุ่งปิดกั้นนวัตกรรม แต่เพื่อรักษาความปลอดภัยในสถานการณ์วิกฤต มิฉะนั้นคะแนนความเชื่อมั่นที่เพิ่งปรับเพิ่มอาจกลับมาติดลบจากข้อครหาละเมิดเสรีภาพ
มาตรการ Hard Kill สะท้อนจุดเปลี่ยนสำคัญของยุทธศาสตร์ป้องกันภัยอากาศไทย จากแนวคิดต้านสัญญาณสู่การทำลายเป้าหมาย ให้ความสำคัญกับความเร็วตอบสนองและการลดต้นทุนต่อสู้กับเทคโนโลยีราคาถูก ภาพการยิงเลเซอร์กลางคืนที่กองบิน 1 กลายเป็นสัญลักษณ์ว่ากองทัพพร้อมปกป้องน่านฟ้าในระยะประชิด
หากรัฐรักษาสมดุลระหว่างอำนาจแข็งกับความโปร่งใสในการสื่อสาร เชื่อว่าจะช่วยยกระดับความเชื่อมั่นประชาชนและเพิ่มอำนาจต่อรองทางการทูตสามเหลี่ยมไทย-กัมพูชา-อาเซียนได้ในระยะกลาง
อย่างไรก็ดี นวัตกรรมโดรนจะยังพัฒนาสู่รุ่นความเร็วเสียงต่ำพุ่งดิ่งและโดรนฝูงอัตโนมัติ เมื่อถึงจุดนั้นระบบสกัดชั้นเดียวอาจไม่เพียงพอ
เงื่อนไขปัจจัยด้านงบประมาณ การถ่ายโอนเทคโนโลยี และความร่วมมือข่าวกรองจะกำหนดทิศทางนโยบาย Hard Kill ว่าจะเดินหน้าแบบบูรณาการครบวงจรหรือหวนกลับสู่การพึ่งพันธมิตรภายนอก
การรักษาขีดความสามารถจึงต้องดำเนินควบคู่การพัฒนากฎหมายและการทูตสาธารณะ เพื่อไม่ให้ความได้เปรียบเชิงเทคนิคกลายเป็นต้นเหตุของความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์รอบใหม่ในอนาคต










