‘ท่าเรือท้ายบ้าน’ ศูนย์กลางพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ไม่ควรมองข้าม
อุตสาหกรรมต่อเรือและซ่อมเรือในประเทศไทยจัดเป็นภาคธุรกิจที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด สามารถช่วยส่งเสริมการจ้างงานภายในประเทศ และมีศักยภาพในการนำเงินตราเข้าสู่ประเทศได้ ในฐานะของอู่ต่อเรือเพื่อการใช้ในประเทศและการส่งออก แม้ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมที่หลายคนอาจไม่คุ้นเคย แต่แท้จริงแล้วมันคือเครื่องจักรสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ หากเราสังเกตการณ์บริเวณอำเภอท้ายบ้าน จังหวัดสมุทรปราการ จะพบว่าพื้นที่นี้เป็นที่รู้กันในฐานะย่านของท่าเรือและอู่ต่อเรือที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ปัจจุบันเทคโนโลยีการต่อเรือได้พัฒนาไปอย่างมาก จากเรือไม้ในอดีตสู่การใช้วัสดุที่หลากหลาย เช่น เหล็ก, อะลูมิเนียม หรือวัสดุคอมโพสิต และเป็นที่น่าประทับใจว่าศักยภาพของอู่ต่อเรือไทยนั้นก้าวหน้าจนสามารถต่อเรือที่มีขนาดความยาวได้ถึงหลักหมื่นตัน โดยบริษัทสัญชาติไทย 100% ก็มีความสามารถในการต่อเรือขนาด 88-90 เมตร และกำลังเตรียมการอัปเกรดอู่สำหรับเรือที่ใหญ่กว่า 100 เมตร
การซ่อมสร้างและลูกค้าหลากหลายกลุ่ม
อุตสาหกรรมต่อเรือในไทยนั้นแบ่งออกเป็นสองส่วนหลักคือ อุตสาหกรรมต่อเรือ (สร้างใหม่) และ อุตสาหกรรมซ่อมเรือ (ปรับปรุงและบำรุงรักษา) ฐานลูกค้ามีความหลากหลายอย่างมาก ทั้งเรือที่ใช้ในราชการและเรือของเอกชน ลูกค้าภาครัฐที่สำคัญได้แก่ กองทัพเรือ กรมศุลกากร กรมเจ้าท่า ตำรวจน้ำ และกรมประมง ส่วนในภาคเอกชน การต่อเรืออาจมีปริมาณไม่มากนัก แต่จะเน้นหนักไปที่การซ่อมบำรุงเรือสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ นอกจากนี้ยังรวมถึงการต่อเรือในตลาดเฉพาะทาง เช่น เรือสำหรับอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซนอกชายฝั่ง (Oil and Gas) หรือเรือสำหรับฟาร์มพลังงานสะอาดนอกชายฝั่ง (Offshore Farm)

การต่อเรือหนึ่งลำนั้นไม่ได้เป็นเหมือนการผลิตสินค้าเชิงมวล แต่เป็นการทำงานในลักษณะของ โครงการ (Project Based) ที่คล้ายคลึงกับธุรกิจก่อสร้าง เรือแต่ละลำมีความซับซ้อนเฉพาะตัว มีชิ้นส่วนที่ต้องประกอบและติดตั้งเป็นหลักพันจนถึงหลักหมื่นชิ้น และมูลค่าของเรือนั้นก็แตกต่างกันไป ตั้งแต่หลักล้านไปจนถึงเรือรบขนาดใหญ่หลักหมื่นล้านบาท ซึ่งขึ้นอยู่กับขนาด สมรรถนะ และความซับซ้อนของเทคโนโลยีที่ถูกใส่ลงไป
งานวิศวกรรมที่ซับซ้อนและการควบคุมคุณภาพ
หัวใจของการต่อเรือคือการออกแบบทางวิศวกรรม เริ่มตั้งแต่การกำหนดแนวคิด (Conceptual Design) จากความต้องการของลูกค้าเพียงกระดาษแผ่นแรก จนกระทั่งออกมาเป็นแบบเรือหลายร้อยหรือหลายพันใบ ในการออกแบบ จะต้องคำนึงถึงข้อจำกัดด้านพื้นที่ (Space) ที่ถือเป็นพื้นที่ที่มีมูลค่าสูงที่สุดอย่างหนึ่งในเรือ นอกจากนี้ ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก โดยต้องมีการออกแบบให้เรือมีแรงลอยตัวเพียงพอ และสามารถรองรับความเสียหายได้แม้ตัวเรือส่วนใดส่วนหนึ่งจะทะลุ
ในกระบวนการผลิต โรงงานต่อเรือมักจะดำเนินการเองทั้งหมด (in-house) โดยใช้เครื่องตัดโลหะ CNC เพื่อให้ชิ้นงานมีความแม่นยำสูงก่อนนำไปประกอบ ความแม่นยำถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากตั้งโครงสร้างแรกไม่ตรง ชิ้นส่วนที่เหลือก็จะเบี้ยวไปทั้งลำ ระหว่างการสร้าง จะมีการทดสอบการผนึกน้ำของรอยเชื่อมด้วยอากาศหรือของเหลวบนบกเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการรั่วซึม ก่อนที่จะนำเรือลงน้ำหรือส่งมอบ การตรวจสอบเหล่านี้เป็นข้อบังคับตามมาตรฐานสมาคมจัดชั้นเรือ เพื่อให้เรือสามารถถือใบรับรอง (Hold Certificate) ได้อย่างต่อเนื่อง
Industrial Key Success
อุตสาหกรรมต่อเรือนั้นเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานสูง (Labor intensive) และต้องการบุคลากรที่มีความสามารถหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญในสายงานวิศวกรรมต่าง ๆ เช่น วิศวกรรมเครื่องกล, ไฟฟ้า, อิเล็กทรอนิกส์, และวัสดุ รวมถึงผู้ที่จบสาขาเฉพาะทางอย่าง นาวาสถาปัตย์ (Nava Architect) หรือ วิศวกรรมทางทะเล (Marine Engineer) ซึ่งเป็นสาขาที่หลายคนอาจไม่รู้จัก แต่มีความสำคัญต่อการออกแบบเรืออย่างยิ่ง นอกจากบุคลากรระดับมันสมองแล้ว ยังมีความต้องการช่างฝีมือแรงงาน เช่น ช่างเชื่อมโลหะและช่างประกอบอีกจำนวนมาก
ผู้ประกอบการเชื่อว่าหากอุตสาหกรรมต่อเรือเติบโตอย่างเต็มที่ จะสามารถสร้างอุตสาหกรรมต้นน้ำได้มากขึ้น เพราะการต่อเรือต้องใช้วัสดุหลากหลาย ตั้งแต่โลหะ (เหล็ก, อะลูมิเนียม) เครื่องจักร ระบบไฟฟ้า และปั๊ม แต่ปัจจุบัน อุตสาหกรรมนี้ยังขาดโอกาส โดยเฉพาะในตลาดเรือพาณิชย์เอกชน ส่วนใหญ่เป็นเพราะนโยบายเดิมทำให้เกิดการพึ่งพาการนำเข้าเรือมือสอง หากประเทศไทยสามารถออกกฎและมาตรการจูงใจ (incentive) ที่เป็นแรงส่งเสริมให้เกิดการต่อเรือในประเทศมากขึ้น คล้ายกับที่ใช้กับอุตสาหกรรมรถยนต์ ก็จะช่วยให้เกิดการสร้างห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่เข้มแข็งในประเทศ และยังช่วยส่งเสริมการขนส่งทางน้ำ ซึ่งมีต้นทุนต่อกิโลเมตรที่ถูกที่สุด อุตสาหกรรมต่อเรือจึงเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงในการผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต











