VEGA Instrument
VEGA Instrument
thai steel industry crisis green steel cbam

‘เหล็ก’ กระดูกสันหลังของชาติ ในภาวะที่ยังวิกฤตอย่างสาหัสยิ่งกว่าห้อง ICU

Date Post
10.10.2025
Post Views

‘เหล็ก’ ของขวัญจากธรรมชาติและหัวใจของเศรษฐกิจโลก

          เหล็กนั้นไม่ใช่เพียงแค่โลหะชนิดหนึ่ง แต่ถูกเปรียบเสมือน “ของขวัญที่ธรรมชาติมอบให้กับมนุษยชาติ” เนื่องจากมันมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อชีวิตประจำวันของพวกเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐาน ที่อยู่อาศัย ภาชนะหุงต้ม บรรจุภัณฑ์อาหาร ไปจนถึงชิ้นส่วนที่ต้องการความแม่นยำสูงในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ เหล็กยังได้รับการขนานนามว่าเป็น กระดูกสันหลังของอุตสาหกรรม ที่มีบทบาทอย่างมากในการพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศในหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจและการยกระดับคุณภาพชีวิต มนุษย์อยู่ร่วมกับเหล็กมาไม่น้อยกว่า 4,000 ปีแล้ว และยุคเหล็กได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อประมาณ 3,200 ปีที่ผ่านมา

          สิ่งที่น่าทึ่งอีกประการของเหล็กคือ แม้ว่าจะมีปริมาณแร่เหล็กสะสมอยู่มากเกือบ 200,000 ล้านตันในธรรมชาติ แต่เหล็กก็ยังสามารถนำมารีไซเคิลได้แบบไม่รู้จบและแทบจะไม่มีขีดจำกัด อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความสำคัญที่ไม่อาจปฏิเสธได้นี้ อุตสาหกรรมเหล็กของไทยกลับกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างไม่เคยมีมาก่อน

วิกฤตการณ์ ‘คนไข้ในห้อง ICU’ ของอุตสาหกรรมเหล็กไทย

          ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ข่าวคราวเกี่ยวกับเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยไม่ค่อยจะดีนัก และหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักที่สุดคืออุตสาหกรรมเหล็ก ขณะนี้ สถานการณ์ความเดือดร้อนและการแข่งขันนั้นเรียกได้ว่าทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ผู้เชี่ยวชาญเปรียบเทียบว่า อุตสาหกรรมเหล็กไทยในปัจจุบันเหมือน “คนไข้ในห้อง ICU ที่ยังห้ามเลือดไม่หยุด” และยังไม่พ้นจากภาวะที่ไม่ปลอดภัย

          วิกฤตนี้เริ่มขึ้นประมาณปี 2565 เป็นต้นมา โดยมีผลกระทบโดยตรงต่ออัตราการใช้กำลังการผลิตภายในประเทศที่ลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง แม้ในปี 2568 อัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยของอุตสาหกรรมเหล็กไทยโดยรวมจะปรับเป็น 32%  จากปีก่อนที่ 31%   แต่คาดการณ์อัตรากำลังการผลิตเหล็กในอนาคตก็มีแต่ทรงกับทรุด  ตัวเลขที่ต่ำเพียง 1 ใน 3 นี้เป็นเหตุให้มีโรงงานต้องปิดตัวลง และมีการเลิกจ้างคนงานจำนวนมาก หากอุตสาหกรรมเหล็กอ่อนแอลงทุกวัน อุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่น ๆ ของประเทศก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย

กำลังการผลิตส่วนเกินจากจีน: จุดเริ่มต้นของความเดือดร้อน

          รากเหง้าของวิกฤตครั้งนี้มาจากการพัฒนาแบบก้าวกระโดดของประเทศจีน ในช่วงเวลาประมาณ 10 ปี (ระหว่างปี 1996 ถึง 2022) จีนสามารถเพิ่มการผลิตเหล็กจาก 100 ล้านตันต่อปี ไปสู่ระดับพันล้านตันต่อปี แม้ว่าปริมาณการใช้เหล็กในจีนจะเคยขึ้นไปสูงสุดที่ประมาณ 980 ล้านตันในปี 2020 แต่หลังจากนั้นก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง ในปีที่ผ่านมา จีนมีกำลังการผลิตส่วนเกินเหลืออยู่ประมาณ 100 ล้านตัน และได้ส่งออกไปยังทั่วโลกมากถึง 90 ล้านตัน ซึ่งเมื่อเทียบกับความต้องการเหล็กทั้งหมดของประเทศไทยที่อยู่ที่ 16-17 ล้านตันต่อปีแล้ว ปริมาณการส่งออกดังกล่าวถือว่ามากมายมหาศาล และเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตการณ์ที่ไทยกำลังเผชิญ

          การแข่งขันที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้มาในรูปแบบของการค้าเสรีที่เป็นธรรมอย่างแท้จริง เนื่องจากจีนมีการส่งออกในลักษณะที่ ทุ่มตลาด (Dumping) ซึ่งหมายถึงการขายในราคาที่ต่ำกว่าต้นทุน หรือต่ำกว่าราคาที่ขายในประเทศจีนเอง ซึ่งกำลังประสบภาวะขาดทุนอยู่แล้ว การทุ่มตลาดดังกล่าวมาในหลากหลายรูปแบบ เช่น การปรับเปลี่ยนส่วนผสมทางเคมีเล็กน้อยเพื่อเปลี่ยนพิกัดสินค้าให้หลบเลี่ยงการเสียภาษี AD (Anti-Dumping) หรือแม้กระทั่งการใช้ Origin Test โดยการส่งสินค้าผ่านประเทศที่ไม่มีมาตรการทางค้าร่วมกับไทยก่อนที่จะนำเข้ามาในประเทศ ปัญหาการค้าที่ไม่เป็นธรรมนี้เกิดขึ้นมานานแล้วตั้งแต่ปี 2544 และถึงแม้ปัจจุบันไทยจะมีมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดอยู่ประมาณ 20 กว่ามาตรการ แต่มาตรการเหล่านั้นก็ยังไม่เพียงพอที่จะรับมือกับปริมาณเหล็กที่ล้นทะลักเข้ามาได้

          นอกจากการแข่งขันจากเหล็กจีน ในลักษณะทุ่มตลาด อีก 2 สาเหตุ ที่ทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเหล็กไทยต่ำ คือ

  • การผลิตเหล็กในประเทศต่ำกว่าความต้องการใช้:  การผลิตเหล็กของไทยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30-35% ของความต้องการใช้เหล็กในประเทศ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต
  • การผลิตไม่สมดุล: มีเหล็กบางประเภทที่ผลิตออกมาล้นเกินความต้องการ ขณะที่เหล็กบางประเภทก็ผลิตต่ำกว่ากำลังการผลิตโดยรวมของอุตสาหกรรม

โครงสร้างอุตสาหกรรมไทย: เมื่อร้อยละ 60 ต้องพึ่งพาการนำเข้า

thai steel industry crisis green steel cbam

          อุตสาหกรรมเหล็กของไทยมีมูลค่าสูงถึงประมาณ 500,000 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นเกือบ 3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือ มูลค่า 3% นี้มาจากการนำเข้าสูงถึง 60% ในขณะที่การผลิตภายในประเทศมีเพียง 40% เท่านั้น

          โครงสร้างอุตสาหกรรมเหล็กไทยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ เหล็กทรงแบน (Flat Products) และ เหล็กทรงยาว (Long Products):

  • เหล็กทรงแบน: ได้แก่ เหล็กแผ่นรีดร้อน รีดเย็น และเหล็กเคลือบ มีกำลังการผลิตประมาณ 17 ล้านตัน แต่ใช้กำลังการผลิตจริงเพียง 33% ส่วนใหญ่ใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้างประมาณ 50% และอีก 40% ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า
  • เหล็กทรงยาว: ได้แก่ เหล็กเส้น เหล็กลวด และเหล็กโครงสร้าง เช่น H Beam, I Beam มีกำลังการผลิตประมาณ 16 ล้านตัน และมีอัตราการใช้กำลังการผลิตที่แย่กว่า คืออยู่ที่ 29% โดยเหล็กทรงยาวนี้ถูกใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้างถึง 80%

Key Takeaway

          นอกจากปัญหาการใช้กำลังการผลิตต่ำแล้ว ประเทศไทยยังมี จุดอ่อนที่สำคัญคือการขาดอุตสาหกรรมต้นน้ำ เนื่องจากเราไม่มีแร่เหล็กในปริมาณที่เพียงพอต่อการทำอุตสาหกรรม ทำให้ต้องซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศเข้ามา การขาดต้นน้ำนี้นำไปสู่ความเสียเปรียบด้านต้นทุน เมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่มีอุตสาหกรรมต้นน้ำ  เช่น เวียดนาม   ที่สำคัญกว่าเรื่องต้นทุนคือ อุตสาหกรรมต้นน้ำเป็นพื้นฐานสำคัญในการสนับสนุนอุตสาหกรรมปลายน้ำที่มีเทคโนโลยีสูง เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่และการบิน ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ไทยยังไปไม่ถึง

โอกาสในการฟื้นฟู: การใช้เหล็กในประเทศและการเปลี่ยนผ่านสู่ Green Steel

          เพื่อบรรเทาอาการป่วยของอุตสาหกรรมเหล็ก ทางกลุ่มอุตสาหกรรมจึงเรียกร้องให้ภาครัฐเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะการผลักดันให้มีการ ใช้สินค้าเหล็กที่ผลิตในประเทศในงานโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่เป็นงานก่อสร้าง ซึ่งมีมูลค่ามหาศาล หากมีการใช้กำลังการผลิตเหล็กในประเทศได้ 100% นักวิจัยคาดการณ์ว่าจะทำให้ GDP เติบโตขึ้นประมาณ 1% กว่า ๆ และสามารถสร้างการจ้างงานได้ถึง 330,000 คน คิดเป็นมูลค่า 56,000 ล้านบาท

          นอกจากมาตรการส่งเสริมภายในแล้ว ภาคเอกชนยังเสนอให้รัฐพิจารณามาตรการปกป้องอื่น ๆ เช่น มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (CVD) หรือมาตรการเซฟการ์ด (Safeguard) ที่มีการกำหนดโควตา เพื่อช่วยให้อัตราการใช้กำลังการผลิตของไทยเพิ่มขึ้นมาในระดับที่พออยู่รอดได้

Industrial Key Success

          ในระยะยาว ความท้าทายจากภาวะโลกร้อนอาจกลายเป็น โอกาสสำคัญ เหล็กถือเป็นอุตสาหกรรมที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สูง แต่ข้อดีคือเหล็กรีไซเคิลปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 1 ใน 3 ของเหล็กที่มาจากเตาถลุง ทำให้ประเทศต่าง ๆ พยายามหันมาใช้เหล็กรีไซเคิลมากขึ้น การพัฒนาสูตรการผลิต Clean Steel หรือ Green Steel ที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ และการลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย จึงเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่สหภาพยุโรป (EU) ได้ออกมาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) เพื่อเก็บภาษีสินค้าที่มีการปล่อยคาร์บอนสูงที่นำเข้า หากประเทศไทยใช้โอกาสนี้ในการเปลี่ยนผ่าน โดยการมีอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ ก็จะสอดคล้องกับนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอนของรัฐบาลในปี ค.ศ. 2050 และ Net Zero ในปี 2065 การลงทุนนี้จึงเป็นโอกาสที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มและพัฒนาเทคโนโลยีให้แก่ประเทศในภาพรวมอย่างยั่งยืน


Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Teera Kittiteerapornchai
Data is head. Content is heart. My mission is to create the 'Intelligent Industrial Media Platform' which is powered by Data x Contents. Teera Kittiteerapornchai Contents Director & CEO of GREENWORLD
ลงทะเบียนร่วมงาน Automation Expo