SIEMENS WinCC
SIEMENS WinCC
thai textile and garment industry

อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทย: เบื้องหลังการสร้างผ้า ตั้งแต่เส้นใยถึงเสื้อผ้าสำเร็จรูป

Date Post
15.10.2025
Post Views

‘สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม’ อุตสาหกรรมพื้นฐานที่อยู่คู่ชีวิตประจำวัน

อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมพื้นฐานที่อยู่ใกล้ชิดกับชีวิตประจำวันของผู้คน และมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 50 ปี เดิมทีอุตสาหกรรมนี้เริ่มต้นจากการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า ก่อนที่จะมีการพัฒนาและขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการลงทุนจากต่างประเทศ อุตสาหกรรมนี้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของหลายประเทศ และเป็นภาคธุรกิจที่มีการใช้แรงงานเข้มข้นสูง

คำว่า “สิ่งทอ” นั้นถูกเรียกตามกระบวนการผลิต ซึ่งหมายถึงกระบวนการสร้างผ้าหรือวัสดุจากเส้นใยต่าง ๆ โดยเป็นการนำเส้นใยมาสานเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นผ้าผืน เส้นใยที่ใช้อาจมาจากธรรมชาติ เช่น ฝ้าย, ป่าน, ลินิน, ไหม, และขนสัตว์ หรืออาจมาจากใยสังเคราะห์ เช่น ไนลอน, โพลีเอสเตอร์, และอะคริลิก ซึ่งนำมาทำเป็นผ้าเกี่ยวกับพวกเซฟตี้หรือชุด PPE

Key Takeaway

ในปี 2568 อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทยเผชิญความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและปัจจัยบวกที่ผันผวน โดยเฉพาะการส่งออกที่ลดลงในเดือนสิงหาคม (เทียบกับปีที่แล้ว) แต่การส่งออกเครื่องนุ่งห่มไปยังตลาดหลัก เช่น สหรัฐฯ และญี่ปุ่น กลับเติบโตได้ดีในช่วงต้นปี อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจต้องจับตาดูผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ และต้นทุนที่สูงขึ้น รวมถึงแนวโน้มตลาดโลกที่ส่งผลต่อความต้องการเครื่องนุ่งห่มในประเทศ 

ตัวเลขสำคัญ ที่สะท้อนภาพอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทย การส่งออกเดือนสิงหาคม 2568: 

มีมูลค่า 494.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 10.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยการส่งออกสิ่งทอลดลง 12.7% และเครื่องนุ่งห่มลดลง 7.9%   อย่างไรก็ตาม การส่งออกเครื่องนุ่งห่มไปยังตลาดหลัก เช่น สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ในช่วงต้นปี 2568 ยังขยายตัวดี  ตัวเลขการนำเข้าเดือนสิงหาคม 2568  เพิ่มขึ้น 2.6% มูลค่า 468 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

โครงสร้างของผ้าทอแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก:

  • ผ้าทอ (Woven Fabric): มีลักษณะไม่ยืดหยุ่นเท่าผ้าประเภทอื่น แต่มีความคงทนแข็งแรง ตัวอย่างเช่น ผ้าปูที่นอน, ชุดยูนิฟอร์ม, ชุดนักเรียน, และเสื้อเชิ้ต
  • ผ้าถักหรือผ้าตาข่าย (Knit Fabric): มีความยืดหยุ่นสูงและคืนตัวได้ดีมากกว่าผ้าทอ ตัวอย่างของผ้าประเภทนี้คือ เสื้อยืดและชุดกีฬา

‘กระบวนการต้นน้ำ’ การเปลี่ยนเส้นใยให้เป็นเส้นด้าย

ขั้นตอนแรกสุดในการผลิตสิ่งทอคือการปั่นเส้นใยให้เป็นเส้นด้าย หากเราพิจารณาตัวอย่างฝ้าย ซึ่งเป็นเส้นใยธรรมชาติ กระบวนการจะเริ่มต้นที่ ห้องผสม ฝ้ายที่ถูกอัดมาเป็นก้อนจะถูกเครื่องจักรตีให้ฟูขึ้น ในระหว่างนี้จะมีท่อคอยดูดฝ้ายเหล่านี้ให้ไหลไปทำความสะอาดและตรวจจับสิ่งแปลกปลอมที่ปนมากับฝ้าย เช่น เศษไม้

จากนั้นฝ้ายจะไหลไปตามท่อเข้าสู่เครื่องผสมเพื่อให้ได้ส่วนผสมที่ลงตัว ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการ การสางเส้นใย กระบวนการนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดเป็นเส้นใยเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่ทำความสะอาดเส้นใยเพื่อสางสิ่งสกปรกออกไปอีกด้วย หลังจากการสาง จะส่งต่อไปที่เครื่องตัดเพื่อลดขนาดและจัดระเบียบเส้นด้าย เส้นด้ายที่เริ่มจับกันเป็นลำยาว ๆ จะถูกบีบจนแบนและออกมาเป็นม้วนกลมใหญ่เพื่อเตรียมปั่นต่อ เส้นใยจะถูกปั่นและไหลออกสู่ถัง ซึ่งจะเห็นว่าเส้นใยเริ่มเล็กลง เป็นระเบียบมากขึ้น และไม่เกาะกัน ขั้นตอนถัดไปคือ Winding Spinning ซึ่งเป็นการจัดระเบียบเส้นด้ายอีกครั้ง โดยเส้นด้ายจะถูกม้วนเข้ากับหลอดเพื่อเตรียมปั่น สุดท้าย เส้นด้ายจะถูกปั่นจนเริ่มเห็นเป็นเส้นเล็ก ๆ แล้วส่งไปกรอและตีเป็นเกลียว จนได้เป็นหลอดใหญ่ ๆ

‘กระบวนการกลางน้ำ’ การทอ การย้อม และการตกแต่งผ้า

หลังจากที่ได้เส้นด้ายที่ผ่านกระบวนการปั่นแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการทอผ้าและการย้อมผ้า โรงงานทอผ้าจะต้องมีเครื่องทอหลายชนิด เนื่องจากเครื่องชนิดหนึ่งจะสามารถทอได้เฉพาะผ้าแบบหนึ่งเท่านั้น และในแบบนั้นก็สามารถทอได้น้ำหนักที่จำกัด ทำให้โรงงานต้องมีเครื่องหลายเครื่องเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า

ผ้าทุกตัวที่ทอออกมาจากโรงทอจะต้องมาพักที่แผนก QC (Quality Control) เพื่อทำการตรวจสอบคุณภาพ 100% ตามมาตรฐานทั้งหมด

การตกแต่งผ้ามีหลายกระบวนการ เช่น:

  • เครื่องปัดขน: สำหรับผ้าคอตตอนหรือผ้าถัก จะทำให้ผ้ามีขน นิด ๆ ที่เรียกว่า Peach Skin คล้ายกับการทำกำมะหยี่ในผ้าโพลีเอสเตอร์
  • เครื่องขูดขน: ผ้าจะถูกทอเป็นห่วง (terry) แล้วขูดเอาเม็ดผ้าออกให้หมดจนกลายเป็นขุย ๆ ขึ้นมา ซึ่งลูกค้านิยมสั่งผ้าชนิดนี้สำหรับเสื้อหนาวที่ใส่ในช่วงหน้าหนาว เพื่อให้รู้สึกอบอุ่นเป็นพิเศษ
  • เครื่องตัดขน: เป็นอีกหนึ่งกระบวนการตกแต่งพิเศษ

ในส่วนของ การย้อมผ้า โรงย้อมจะต้องคำนวณความเหมาะสมของชนิดผ้าและขนาดเครื่องย้อม ผ้าที่มาจากโรงทอแต่ละพับจะมีน้ำหนักเป็นกิโลกรัมไม่เท่ากัน เพื่อให้ผ้าเข้าเครื่องย้อมได้พอดีและเหมาะสม ช่างจะทำการ ต่อหัวผ้า โดยใช้จักร เพื่อให้แต่ละช่องของเครื่องย้อมมีน้ำหนักผ้าตามที่คำนวณไว้ เช่น ถ้าคำนวณว่า 1 ช่องต้องเข้าผ้า 100 กิโลกรัม และผ้าหนึ่งพับหนัก 20 กิโลกรัม ก็จะต้องต่อ 5 พับเข้าด้วยกัน

หลังจากย้อมผ้าเสร็จแล้ว จะมีการตรวจสีว่าตรงตามความต้องการของลูกค้าหรือไม่ ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการเอาผ้าออกจากเครื่องย้อมและ การสลัดผ้า เพื่อเอาความชื้นหรือน้ำออกจากผ้าให้ได้มากที่สุด

ผ้าที่ออกมาจากเครื่องย้อมบางชนิดจะมีลักษณะเป็นถุงกลม ซึ่งจะต้องนำไปผ่านใบมีดเพื่อ ผ่าผ้า ให้ผ้าเป็นแบบเปิด (Open Width) ก่อนที่จะนำไปอบ ส่วนผ้าที่ไม่ได้ผ่าก็จะนำเข้า เครื่องอบกลม เพื่อทำผ้าแบบไร้ตะเข็บ (Body Size) ตามลำตัวของผู้สวมใส่ ซึ่งเป็นที่นิยมในแถบญี่ปุ่น

หลังจากอบแห้งแล้ว ผ้าอบกลมจะผ่านขั้นตอน การกันหดและขัดเงา อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้คุณสมบัติที่เนียนเรียบ ลื่น และนุ่ม

ห้องแล็บ มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมคุณภาพ โดยเฉพาะเรื่องสี เมื่อลูกค้าส่งเฉดสีที่ต้องการมาย้อม ห้องแล็บจะใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่เก็บสูตรสีและคุณสมบัติของสีแต่ละชนิดไว้ เครื่องจะสามารถ Predict หรือทำนายสูตรสีที่ควรใช้ สูตรที่ได้จะถูกส่งอัตโนมัติมาที่ห้องจ่ายสี ซึ่งจะทำการดูดสีและปล่อยลงในกระบอกเล็ก ๆ เพื่อเตรียมย้อมต่อไป เนื่องจากหลายบริษัทส่งผ้าให้ลูกค้ายุโรป, อเมริกา, และญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ จึงจำเป็นต้องควบคุมมาตรฐานอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะมาตรฐาน ZDHC (Zero Discharge of Hazardous Chemical) ของยุโรป เพื่อให้มั่นใจว่าสีที่ใช้ในโรงงานนั้นสอดคล้องกับข้อกำหนดดังกล่าว

‘กระบวนการปลายน้ำ’ สู่เสื้อผ้าสำเร็จรูป

ขั้นตอนสุดท้ายหรือขั้นปลายน้ำคือการนำผ้าผืนที่ทอและย้อมเสร็จแล้วมาผลิตเป็นเครื่องนุ่งห่มหรือเสื้อผ้าสำเร็จรูป กระบวนการนี้เริ่มต้นด้วยการ ตรวจผ้า จากสต็อกโดยใช้เครื่องตรวจผ้าที่มีไฟส่อง พนักงานจะตรวจดูว่ามีดีเฟคกี่จุดตามมาตรฐาน ISO หากมีตำหนิจะมีการติดสติกเกอร์ปะไว้  ในขั้นตอนนี้ยังต้องมีการตรวจสอบ Shading หรือความเพี้ยนของสีระหว่างม้วนผ้า โดยจะต้องมีการตัดตัวอย่างชิ้นงานจากม้วนเพื่อเทสสี หากสีมี Shading มากเกินไป จะต้องแยกกองผ้าออกมา เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเวลาเย็บ นอกจากนี้ยังมีการ เทสการยืดหดของผ้า โดยเฉพาะผ้าที่เน้นความยืดหยุ่น

ขั้นตอนถัดไปคือการ ปูผ้า ตามความยาวของมาร์คเกอร์ที่กำหนด และตามจำนวนชั้นที่ต้องการ หลังจากปูเสร็จ จะวางมาร์คเกอร์ลงไปและใช้เครื่องตัดอัตโนมัติ (Auto Head Cutter) เลื่อนมาตัดผ้าตามโต๊ะ

ชิ้นส่วนผ้าที่ถูกตัดออกมาจะถูกส่งต่อไปยัง แผนกอะไหล่ ซึ่งจะทำชิ้นส่วนเล็ก ๆ ที่เป็นอะไหล่ของตัวเสื้อก่อนนำไปประกอบ หลังจากตัดเสร็จ ชิ้นงานจะถูกมัดไว้เป็นท่อน ๆ เพื่อนำมา ติดเบอร์เรียงชั้นผ้า ขั้นตอนนี้สำคัญมาก เพราะเวลาปูผ้าอาจมีผ้ามากกว่า 1 ม้วน และแต่ละม้วนอาจมี Shading ดังนั้นการเรียงชั้นผ้าเพื่อให้แต่ละชั้นของชิ้นส่วนเป็นผ้าชิ้นเดียวกัน จะช่วยป้องกันไม่ให้เสื้อที่เย็บเสร็จออกมามีสีที่แตกต่างกัน

เมื่อชิ้นส่วนพร้อม ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการ เย็บประกอบ ซึ่งเป็นการนำชิ้นส่วนต่าง ๆ มาเย็บต่อกันจนเริ่มเป็นตัวเสื้อที่สมบูรณ์ แม้ว่าจะมีการใช้เครื่องจักรและเครื่องมือที่ทันสมัยเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ในอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มก็ยังเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องใช้แรงงานและคนงานอยู่มาก เนื่องจากหลายเรื่องยังต้องอาศัยทักษะและความเชี่ยวชาญของมนุษย์อยู่

หลังจากเย็บสำเร็จรูปแล้ว เสื้อผ้าจะถูกส่งไปผ่านขั้นตอน QC ครั้งสุดท้าย เพื่อตรวจวัดและเช็คตำหนิของผ้าว่ามีกี่จุด หากทุกอย่างผ่านการตรวจสอบแล้ว QC จะปล่อยผ่านไปที่แผนก Packaging เพื่อเตรียมจัดส่งต่อไป

Industrial Key Success

ปัจจัยและแนวโน้มอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทย  การส่งออกไปยังสหรัฐฯ  มีการขยายตัวดีในช่วงต้นปี 2568 เนื่องจากคู่ค้าเร่งนำเข้าสินค้า  แต่ข้อกังวลที่ต้องจับตาคือ ผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ  เป็นความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกเครื่องนุ่งห่มไทย  ทำให้ความสามารถในการทำกำไรของผู้ประกอบการลดลง อีกปัจจัย คือ ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น รวมถึงการชะลอตัวของตลาดโลก ค่าขนส่ง ค่าไฟฟ้า และค่าแรงงานที่เพิ่มสูงขึ้น กดดันความสามารถในการทำกำไรของอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทย   

ทางออกสำหรับปัญหาเบื้องต้น ผู้ประกอบการสิ่งทอและเครื่งนุ่งห่มไทย ต้องปรับตัวรับมือความท้าทายจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและความเสี่ยงจากการค้าที่ผันผวน โดยควรเน้น การยกระดับผลิตภัณฑ์สู่ความยั่งยืนและนวัตกรรม เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และ การขยายตลาดใหม่ๆ เพื่อลดการพึ่งพาตลาดหลัก รวมถึงการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เช่น ระบบ Automation  AI  และ IoT ฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการบริหารจัดการต้นทุน และการใส่ Creativity และ Design ลงในชิ้นงาน เพื่อเพิ่มโอกาสและมูลค่าทางการตลาดของอุตสาหกรรม


Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Pisit Poocharoen
Former field engineer seeking to break free from traditional learning frameworks. อดีตวิศวกรภาคสนามที่ต้องการหลุดออกจากกรอบการเรียนรู้แบบเดิม ๆ
Super Source-E-market place สำหรับสินค้าอุตสาหกรรม