สังคมสูงวัย กระทบโดยตรงกับภาคอุตสาหกรรม ในมุมของแรงงานที่ลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาคอุตสาหกรรมต้องหันไปใช้แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านทดแทนส่วนหนึ่ง อีกส่วนคือการลงทุนกับระบบ Automation และ AI มากขึ้น การขยายอายุเกษียณเป็น 65 ปี จึงอาจเป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยผ่อนคลายปัญหาขาดแคลนแรงงาน และผลกระทบทางเศรษฐกิจได้
เหรียญด้านที่ 1 โอกาสสำหรับภาคอุตสาหกรรม
- การแพทย์และสุขภาพ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพเฉพาะผู้สูงอายุ เช่น สถานดูแลผู้สูงอายุ (nursing home), บริการดูแลที่บ้าน (home care), และบริการฟิตเนสสำหรับผู้สูงอายุ บริการพาผู้สูงอายุไปพบแพทย์ บริการเป็นเพื่อนผู้สูงอายุ และงานอุบัติใหม่ที่เกี่ยวกับสังคมสูงวัยต่างๆ
- อาหารและเครื่องดื่ม ความต้องการอาหารเพื่อสุขภาพและอาหารเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น
- เทคโนโลยีและบริการ ธุรกิจที่ให้บริการสะดวกสบาย เช่น บริการเดลิเวอรี, เทคโนโลยีช่วยอำนวยความสะดวก, บ้านและเฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อผู้สูงอายุ
- การท่องเที่ยว ธุรกิจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ธุรกิจพาผู้สูงอายุท่องเที่ยว และกิจกรรมที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ
- การเงิน ธุรกิจที่ปรึกษาการวางแผนทางการเงินหลังเกษียณ
เหรียญด้านที่ 2 ความท้าทายสำหรับภาคอุตสาหกรรม
- การขาดแคลนแรงงาน ภาคอุตสาหกรรมหลายส่วนประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงาน
- การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภค ความต้องการสินค้าและบริการบางประเภท เช่น สินค้าฟุ่มเฟือย เครื่องสำอาง เครื่องประดับ และเครื่องแต่งกายจะลดลง
- ผลกระทบต่อภาคการศึกษา โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้โรงเรียนบางแห่งต้องปิดตัวลงหรือรวมกิจการ เนื่องจากจำนวนนักเรียนลดลง
การปรับตัวของภาคอุตสาหกรรม
- สินค้าและบริการ สร้างสรรค์สินค้าและบริการให้ตอบสนองความต้องการของผู้สูงอายุได้อย่างตรงจุด
- เทคโนโลยี นำเทคโนโลยีมาช่วยในการผลิตสินค้าและบริการให้มีประสิทธิภาพ เพื่อตอบโจทย์การขาดแคลนแรงงาน
- การพัฒนาแรงงาน ส่งเสริมการพัฒนาทักษะและยกระดับคุณภาพแรงงานให้สามารถทำงานในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ได้
- นโยบาย การสนับสนุนจากภาครัฐผ่านนโยบายที่เหมาะสมเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวและก้าวผ่านความท้าทายเหล่านี้ได้
เมื่ออายุเป็นเพียงตัวเลข : แรงผลักดันของโลกที่มุ่งสู่การทำงานที่ยาวนานขึ้น

การขยายอายุการทำงานของประชากรให้ยาวนานขึ้นกำลังกลายเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก เดนมาร์ก ซึ่งมีเพดานอายุเกษียณอยู่ที่ 65 ปี มีแผนที่จะขยับเพดานนี้ไปเป็น 70 ปีภายในปี 2040 ขณะที่ญี่ปุ่นได้เพิ่มอายุเกษียณเป็น 65 ปี และเวียดนามเพิ่มเป็น 62 ปี สำหรับประเทศไทยนั้น การขยายอายุการทำงานจาก 60 ปีไปเป็น 65 ปี ได้กลายเป็นเรื่องที่จำเป็นมานานหลายปีแล้ว
แม้ว่าหลักฐานเชิงประชากรและเศรษฐกิจจะมีความชัดเจนในการสนับสนุนแนวคิดนี้ แต่การผลักดันเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ประเด็นสำคัญจึงไม่ใช่แค่การพูดถึงอายุเกษียณ แต่คือการสร้างความตระหนักรู้และทำความเข้าใจให้คนไทยรู้สึกว่า การทำงานที่ยาวนานขึ้นนั้นคือสิ่งที่จำเป็นและมีคุณค่าอย่างแท้จริง
วิกฤตโครงสร้างประชากรไทย: เหตุผลแห่งความเร่งด่วน
ปัจจุบันอายุกึ่งกลางของประชากรไทย (Median Age) อยู่ที่ 41 ปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียนที่ 29 ปี ในขณะที่อายุขัยเฉลี่ยของคนไทย (Life Expectancy) ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อยู่ที่ 78.7 ปี ในปี 2564 และในปีเดียวกันนี้ นับเป็นครั้งแรกที่ไทยมีจำนวนคนเกิดน้อยกว่าจำนวนคนตาย โดยมีผู้เสียชีวิตประมาณ 570,000 คน ในขณะที่เด็กเกิดใหม่มีเพียง 460,000 คน ซึ่งส่งผลให้ประชากรโดยรวมลดลงประมาณแสนกว่าคน ซึ่งแนวโน้มจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น อายุขัยที่ยืนยาวขึ้น และอัตราการเกิดที่ต่ำลง ทำให้เกิดความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะการลดลงของกำลังแรงงานสะท้อนจากอัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงาน (Labor Force Participation Rate) เพียง 68.7% ในปี 2566 ซึ่งมีทิศทางลดลงจาก 70%++ เมื่อ 10 ปีก่อน ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้อัตราส่วนพึ่งพิงวัยสูงอายุ (Old-Age Dependency Ratio) เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในปี 2564 ประชากรวัยแรงงาน 100 คน ต้องดูแลผู้สูงอายุถึง 21 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 13 คน ในปี 2558 และอัตราส่วนดังกล่าวมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ
ปี 2567 นี้ เป็นปีแรกที่ประเทศไทยเข้าสู่การเป็น ‘สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์’ (Complete Aged Society) หมายความว่า 1 ใน 5 ของประชากรไทย หรือร้อยละ 20 มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ขณะที่สัดส่วนเด็กเหลือเพียงประมาณร้อยละ 15 และวัยทำงานอยู่ที่ประมาณร้อยละ 64-65 ความท้าทายจะยิ่งเพิ่มขึ้นในอีก 20 ปีข้างหน้า ซึ่งคาดการณ์ว่าประชากรสูงอายุจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณร้อยละ 34 หรือมากกว่า 1 ใน 3 ในขณะที่เด็กจะลดลงเหลือเพียงร้อยละ 9 และวัยทำงานจะเหลือเพียงร้อยละ 50 กว่า หากไม่มีการปรับตัวและส่งเสริมให้คนไทยทำงานนานขึ้น อนาคตกลุ่มประชากรถึง 1 ใน 3 จะเป็นกลุ่มพึ่งพิง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งในระดับมหภาคและจุลภาคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและรายได้ของประชาชน

ผลกระทบระดับบุคคล คนไทยมีอายุยืนยาวขึ้นมาก โดยผู้ชายไทยที่มีอายุ 60 ปี จะมีอายุอยู่ต่อไปได้อีกประมาณ 17-18 ปี ส่วนผู้หญิงจะอยู่ได้ถึงประมาณ 24 ปี ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นประมาณ 5-6 ปี เมื่อเทียบกับ 30-40 ปีที่ผ่านมา หากใช้เกณฑ์เดิมคือหยุดทำงานที่อายุ 60 ปี คนวัยเกษียณต้องเผชิญกับคำถามว่า รายจ่ายที่เพิ่มขึ้นสำหรับช่วงชีวิตหลังเกษียณอีก 5-6 ปี จะเพียงพอได้อย่างไร
แหล่งรายได้ของผู้สูงอายุมี 4 แหล่ง : 1) จากการทำงาน, 2) จากเงินออมและการลงทุน (เช่น Passive Income), 3) จากครอบครัว (ลูกหลาน), และ 4) จากภาครัฐ (เบี้ยยังชีพ/บำนาญ) แต่ปัจจุบัน ความคาดหวังในการพึ่งพาครอบครัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในอดีต (ประมาณปี 2550) ผู้สูงอายุไทยกว่าร้อยละ 52 พึ่งพาลูกหลานเป็นรายได้หลัก แต่ปัจจุบันตัวเลขลดลงเหลือเพียงประมาณร้อยละ 30 กว่า นอกจากนี้ ภาคครัวเรือนยังมีความเสี่ยงด้านรายได้ เพราะพบว่าคนไทยมีภาวะขาดดุลรายได้ คือ รายได้ต่ำกว่าการบริโภค ตั้งแต่อายุ 57 ปีแล้วด้วยซ้ำ ไม่ใช่ 60 ปี
ผลกระทบระดับประเทศ ภาครัฐจะได้รับผลกระทบในด้านรายได้ที่ลดลง เนื่องจากวัยแรงงานซึ่งเป็นกลุ่มที่มีรายได้สูงกว่าการบริโภค และเป็นผู้จ่ายภาษีหลักกำลังลดลง ในขณะเดียวกันรายจ่ายหรือภาระในการดูแลประชากรสูงอายุจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในด้านสวัสดิการสุขภาพและบำนาญ ยิ่งไปกว่านั้น สัดส่วนแรงงานที่ลดลงยังส่งผลกระทบต่อโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวม เพราะแรงงานเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญ
บริบทเฉพาะของไทยและความท้าทายในการปฏิรูป
แม้หลายประเทศพยายามขยายอายุเกษียณ แต่บริบทของไทยมีความเฉพาะตัว ประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่มีระยะเวลาเตรียมตัวเข้าสู่สังคมสูงวัยที่ยาวนานถึง 40-50 ปี ทำให้พวกเขามีการสร้างระบบบำนาญที่มีความครอบคลุมเกือบ 100% สำหรับประชากรวัยแรงงาน การขยายอายุเกษียณในประเทศเหล่านั้นจึงเชื่อมโยงกับการได้รับบำนาญโดยอัตโนมัติ
แต่ไทยและหลายประเทศกำลังพัฒนามีการเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว (ใช้เวลาน้อยกว่า 20 ปีในการก้าวสู่สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์) การเตรียมพร้อมด้านความมั่นคงทางรายได้จึงไม่ครอบคลุม จุดอ่อนที่สำคัญคือ แรงงานในระบบมีเพียงประมาณ 1 ใน 3 ส่วนที่เหลืออีก 2 ใน 3 เป็นแรงงานนอกระบบ เช่น ภาคเกษตรและผู้ประกอบอาชีพอิสระ การขยายอายุเกษียณจาก 60 เป็น 65 ปี จึงส่งผลกระทบโดยตรงแค่ข้าราชการหรือลูกจ้างในภาครัฐเท่านั้น
นอกจากนี้ การปฏิรูปยังต้องเผชิญกับอุปสรรคทางสังคมและกฎหมาย คือ ‘นิยามผู้สูงอายุ’ ตาม พ.ร.บ. ผู้สูงอายุของไทย กำหนดให้บุคคลอายุ 60 ปีบริบูรณ์เป็นผู้สูงอายุ แม้จะส่งผลต่อการรับสิทธิเบี้ยยังชีพ แต่ที่สำคัญกว่าคือมันสร้างมุมมองทางจิตสังคม (Psychosocial) ที่ทำให้คนไทยรู้สึกว่าเมื่ออายุครบ 60 ปีแล้ว ‘แก่ทันที’ และควรเกษียณ ซึ่งส่งผลต่อวิธีคิดในการทำงานต่อ หากนิยามนี้ยังคงอยู่ที่ 60 ปี การจะขยายอายุเกษียณอื่น ๆ จึงเป็นเรื่องที่ยาก การเปลี่ยนจุดตัดของนิยามผู้สูงอายุไปที่ 65 ปี จะเป็นตัวเปรียบเทียบ (Benchmark) ที่สำคัญ เพื่อให้สังคมรู้สึกว่า 60 หรือ 61 ปียังไม่แก่และสามารถทำงานต่อไปได้
แนวทางแก้ไขและการขับเคลื่อนการทำงานที่ยาวนานขึ้น
1.การเพิ่มอายุเกษียณแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ควรประกาศขยายจาก 60 เป็น 65 ปีทันที ควรใช้เวลา เช่น 5-8 ปี โดยอาจเพิ่มปีละ 3 เดือน เหมือนที่เวียดนามใช้เวลา 8 ปีในการขยายอายุเกษียณจาก 60 เป็น 62 ปี สำหรับเพศชาย วิธีนี้ช่วยให้ผู้ที่กำลังจะเกษียณสามารถปรับตัวและปรับความคาดหวังได้
2.ความยืดหยุ่น (Flexibility) ไม่สามารถบังคับใช้กับทุกประเภทงานได้ งานที่ต้องใช้แรงงานทางกายภาพสูงหรืองานที่มีความเสี่ยง อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน หรือมีช่วงเปลี่ยนผ่าน (Transition) ของลักษณะงาน แม้แต่งานบริหารก็อาจต้องปรับให้เป็นลักษณะงานที่ปรึกษา (Advisor) หลัง 60 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้คนรุ่นหลังได้ขยับตำแหน่ง
3.การปรับอายุเกิดสิทธิชราภาพ สำหรับแรงงานในระบบประกันสังคม การขยายอายุเกิดสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพจาก 55 ปีไปเป็น 60 ปี จะเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้คนทำงานนานขึ้น เพราะหากอายุเกิดสิทธิ์ยังอยู่ที่ 55 ปี คนจะมีความคาดหวังที่จะหยุดทำงานแล้วใช้สิทธิ์ทันที การปรับนี้ยังช่วยให้ระบบประกันสังคมมีความยั่งยืนมากขึ้นด้วย
Key Takeaway
มาตรการขยายอายุเกษียณเป็น 65 ปี เป็นความพยายามแก้ปัญหาโครงสร้างประชากร สังคมผู้สูงอายุ และการขาดแคลนแรงงาน เป็นมาตรการโฟกัสปัญหาที่ปลายน้ำ ซึ่งควรทำควบคู่กับแก้ปัญหาที่ต้นน้ำด้วย คือ มาตรการเพิ่มอัตราการเกิด ส่งเสริมการมีบุตร ให้เป็นวาระแห่งชาติ ทำอย่างไร ให้คนไทยวัยสร้างครอบครัวที่มีความพร้อม มีความรู้สึกว่าการมีบุตรได้ประโยชน์มากกว่าที่คิด การมีบุตรไม่ใช่ภาระ แต่คือ โอกาส ของขวัญ และการช่วยชาติในการปรับสมดุลโครงสร้างประชากร การรณรงค์ส่งเสริมการมีบุตรในประเทศไทยมุ่งเน้นการแก้ปัญหาวิกฤตเด็กเกิดน้อย พัฒนาประชากรและทุนมนุษย์ นโยบายสำคัญประกอบด้วยการ
มาตรการส่งเสริมด้านการแพทย์ เช่น การเพิ่มสิทธิประโยชน์ การรักษาภาวะมีบุตรยากในระบบบัตรทอง และการจัดตั้งคลินิกส่งเสริมการมีบุตรในโรงพยาบาล สังกัดกระทรวงสาธารณสุข รักษาภาวะมีบุตรยาก เช่น IUI (การฉีดน้ำเชื้อเข้าโพรงมดลูก) และ IVF (เด็กหลอดแก้ว)
มาตรการทางสวัสดิการและกฎหมาย ที่เกี่ยวข้อง เช่น การสนับสนุนเงินอุดหนุนเด็ก ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 ปี สำหรับครอบครัวที่มีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 1 แสนบาทต่อคนต่อปี การขยายวันลาคลอดเป็น 120 วัน โดยได้รับค่าจ้าง การแก้กฎหมายอุ้มบุญใหม่เพื่อขยายสิทธิให้กลุ่มสมรสเท่าเทียมและผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงบริการได้มากขึ้น และแก้กฎหมายเพื่อช่วยเหลือกลุ่มหนุ่มโสด สาวโสดที่อยากมีบุตรแต่ไม่อยากมีคู่ การพัฒนาศูนย์เด็กเล็กของรัฐให้มีคุณภาพและครอบคลุมทุกจังหวัด เพื่อเพิ่มความสะดวกและแบ่งเบาพ่อแม่ที่ต้องทำงานไปด้วย มาตรการลดหย่อนภาษีเพื่อกระตุ้นการมีบุตร และนโยบายเรียนฟรี
มาตรการต้นน้ำ ปลายน้ำ ทั้งหมดต้องทำคู่ขนานกันไปหากหวังผลสำเร็จในการแก้ปัญหาโครงสร้างประชากร สังคมผู้สูงวัย ที่กระทบกับเศรษฐกิจ และภาคอุตสาหกรรมทั้งระบบในระยะยาว เพราะ ‘ทุนมนุษย์’ คือความมั่นคงของชาติ อย่างปฏิเสธไม่ได้











