คลื่นการลงทุนจากยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีและการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค AI
โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง ทำให้ความต้องการโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Data Center พุ่งสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด ปัจจุบันยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยีระดับโลกต่างตบเท้าเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ด้วยเม็ดเงินรวมกันกว่า 300,000 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นที่การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI และ Data Center คำถามสำคัญคือ เหตุใดประเทศไทยจึงกลายเป็นหมุดหมายสำคัญอันดับหนึ่งในภูมิภาคนี้ในสายตาของบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ คำตอบนั้นผูกพันอย่างแยกไม่ออกกับความมั่นคงทางพลังงานที่ไทยได้สร้างมาอย่างเงียบ ๆ ตลอดหลายทศวรรษ
ความต้องการไฟฟ้าที่บ้าคลั่งของ Data Center และ AI

AI แม้จะมีความฉลาดและสามารถทำงานได้หลากหลาย แต่เทคโนโลยีนี้ ‘กินไฟอย่างมหาศาล’ การรายงานของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่า Data Center ที่ใช้ในการขับเคลื่อน AI มีความต้องการไฟฟ้าที่เติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดดหลายเท่าตัว คาดการณ์ว่าในปี 2030 ความต้องการไฟฟ้าดังกล่าวจะมากกว่าปริมาณไฟฟ้าที่ประเทศญี่ปุ่นใช้ทั้งประเทศ
นอกจากปริมาณที่มากมหาศาลแล้ว ธุรกิจ Data Center ยังต้องการไฟฟ้าที่ ‘นิ่ง’ และ ‘เสถียร’ อย่างยิ่งยวด ห้ามดับ ห้ามกระตุกโดยเด็ดขาด สำหรับธุรกิจประเภทนี้ การที่ไฟฟ้าดับเพียงเสี้ยววินาที อาจมีมูลค่าความเสียหายหลายพันล้านบาท ดังนั้น ความมั่นคงทางพลังงานจึงเป็นปัจจัยชี้ขาดในการเคลื่อนย้ายทุนเข้ามาตั้งฐาน Data Center และ AI ในประเทศนั้น ๆ ประเทศเพื่อนบ้านหลายแห่ง เช่น เวียดนาม เคยประสบปัญหาไฟกระชาก ไฟฟ้าดับยาวนาน ซึ่งในปี 2023 เคยดับต่อเนื่องนานถึง 7 ชั่วโมง ทำให้นักลงทุนขนาดใหญ่ที่เห็นความไม่เสถียรด้านพลังงานเช่นนี้จำเป็นต้องพิจารณาอย่างหนัก
เสถียรภาพไฟฟ้าไทย: ความเย้ายวน และแต้มต่อสำคัญระดับโลก
ปัญหาความไม่เสถียรของประเทศอื่นกลับกลายเป็น ‘แต้มต่อที่สำคัญที่สุด’ ของประเทศไทย เนื่องจากระบบไฟฟ้าของไทยมีความนิ่งและเสถียรมาก ตัวเลขสถิติยืนยันว่าสถิติไฟฟ้าดับเฉลี่ยต่อปีของคนไทยนั้นอยู่ที่เพียง 0.65 นาทีเท่านั้น ซึ่งยังไม่ถึง 1 นาทีต่อปี และถือเป็นระดับ World Class ความสำเร็จนี้ไม่ได้เป็นเรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากการที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้วางแผนโครงสร้างพื้นฐานมาเป็นเวลานานนับ 10 ปี
เมื่อบริษัท Big Tech ซึ่งมีข้อมูลเชิงลึกและตาไวเห็นว่าประเทศไทยมีจุดแข็งด้านความเสถียรพลังงานไฟฟ้า จึงตัดสินใจนำเม็ดเงินก้อนใหญ่เข้ามาลงทุนอย่างคึกคัก
การลงทุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี (Hyperscalers)
- Amazon Web Services (AWS): มีแผนลงทุนระยะยาวกว่า 1.9 แสนล้านบาท ในช่วง 15 ปีข้างหน้า เพื่อจัดตั้ง Region ในประเทศไทย
- Google: ประกาศลงทุนมูลค่า 3.6 หมื่นล้านบาท เพื่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์และ Google Cloud Region ในกรุงเทพฯ และชลบุรี
- Microsoft: อยู่ระหว่างการพิจารณาลงทุนในไทย คาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 1 แสนล้านบาท
- TikTok: ลงทุนด้าน Data Hosting มูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านบาท
การลงทุนจากผู้ให้บริการและพันธมิตร
- GIP x TRUE IDC: เป็นการร่วมทุนขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะพลิกโฉมให้ไทยเป็น Tech Hub ระดับโลก
- GDS ประเทศจีน: ลงทุน 2.8 หมื่นล้านบาท
- Bridge Data Centres (BDC): ลงทุน 4.4 หมื่นล้านบาท เพื่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ที่จังหวัดชลบุรี โดยได้รับความร่วมมือจากบริษัท อีสท์วอเตอร์ และ STECON ในการบริหารจัดการน้ำ
- GULF Group: เสนอแผนลงทุนมูลค่า 1.3 หมื่นล้านบาท เมื่อช่วงต้นปี 2025
- Siam AI Cloud: ลงทุน 3.3 พันล้านบาท ในช่วงต้นปี 2025
- Equinix ประเทศสหรัฐอเมริกา: ลงทุน 1.65 หมื่นล้านบาท
- NextDC ประเทศออสเตรเลีย: ลงทุน 1.37 หมื่นล้านบาท
- STT GDC ประเทศสิงคโปร์: ลงทุน 4.5 พันล้านบาท
โครงสร้างพื้นฐานที่ครอบคลุม: ปัจจัยเสริมที่ลงตัว

นอกจากความเสถียรของไฟฟ้าแล้วนักลงทุนไม่ได้มองแค่ปัจจัยเดียว แต่พิจารณาทั้งแพ็กเกจและระบบนิเวศ (Ecosystem) ประเทศไทยมีความได้เปรียบในหลายมิติ:
1. อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ความเร็วอินเทอร์เน็ตของไทยติดอันดับท็อป 10 ของโลกและเป็นท็อป 2 ในอาเซียน ความเร็วเฉลี่ย 237.05 Mbps
2. นโยบายรัฐบาล รัฐบาลได้ปูพรมแดงต้อนรับอย่างเต็มที่ ผ่านนโยบาย Cloud First และสิทธิประโยชน์จาก BOI เพื่อดึงดูดการลงทุน
3. โครงสร้างพื้นฐานโดยรวม ธนาคารโลกจัดอันดับให้โครงสร้างพื้นฐานของไทยโดยรวมอยู่ในอันดับที่ 25 ของโลก ซึ่งถือว่าดีเยี่ยม
4. นโยบาย Direct PPA คาดว่าจะมีการประกาศใช้ในช่วงปลายปี 2025 เพื่อให้กลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์สามารถซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตได้โดยตรง ซึ่งจะช่วยตอบโจทย์ด้านการใช้พลังงานสะอาด
ปัจจัยทั้งหมดนี้ประกอบกัน ทำให้ประเทศไทยมีส่วนผสมที่ลงตัวและเป็นทำเลที่นักลงทุนปฏิเสธไม่ได้
บทบาทของไทยในฐานะ ‘แบตเตอรี่’ แห่งอาเซียน
ศักยภาพของไทยไม่ได้จำกัดอยู่แค่การรองรับ Data Center ภายในประเทศเท่านั้น แต่กำลังก้าวสู่การเป็น Power Bank แห่งอาเซียนผ่านแผน ASEAN Power Grid ด้วยที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่อยู่ตรงกลางของภูมิภาค ไทยจึงเป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญของระบบนิเวศพลังงานในอาเซียน โดยเชื่อมโยงระบบไฟฟ้าแรงสูงกับประเทศเพื่อนบ้านเกือบทั้งหมด ได้แก่ ลาว เมียนมาร์ มาเลเซีย และกัมพูชา
ประเทศเพื่อนบ้านบางแห่งมีแหล่งพลังงานหมุนเวียนเยอะ เช่น สปป.ลาว แต่พลังงานเหล่านี้อาจมีความเสถียรต่ำเมื่อไม่มีแดดหรือลม ในทางกลับกัน ไทยสามารถดึงพลังงานไฟฟ้าที่นิ่งและเสถียรจาก ‘แบตเตอรี่กลาง’ ซึ่งก็คือประเทศไทยเองไปใช้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง กลไกนี้ทำให้ไทยกลายเป็นผู้เล่นหลักในการควบคุมการไหลเวียนของกระแสไฟฟ้าในภูมิภาค ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกตัวใหม่ที่มีมูลค่ามหาศาล
นอกจากนี้ ในมิติของพลังงานแบบดั้งเดิม ไทยก็ถือไพ่สำคัญไว้ เราเป็นจุดศูนย์กลางทางภูมิศาสตร์ที่ทุกห่วงโซ่พลังงานต้องผ่าน โดยมีท่อส่งก๊าซธรรมชาติข้ามพรมแดนจากเมียนมาร์ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 20-25% ของไฟฟ้าที่ใช้ในไทย และไทยยังเป็นผู้บริหารจัดการระบบท่อส่งนี้ทั้งหมด นอกจากนี้ โครงข่ายท่อใต้ทะเลในอ่าวไทยยังถูกขนานนามว่า ‘Energy Backbone’ หรือกระดูกสันหลังด้านพลังงาน
Industrial Key Success
เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการที่กำลังจะเพิ่มขึ้น กฟผ. กำลังดำเนินการอัปเกรดระบบครั้งใหญ่ผ่านโครงการ Grid Modernization โดยมีการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ามาใส่ในระบบไฟฟ้า เช่น Smart Grid ซึ่งเป็นโครงข่ายอัจฉริยะที่สามารถบริหารจัดการไฟฟ้าแบบ Real Time รวมถึงการติดตั้ง Energy Storage หรือแบตเตอรี่ขนาดใหญ่เพื่อสำรองไฟ และการใช้ AI เข้ามาช่วยพยากรณ์การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และลมล่วงหน้า ทั้งหมดนี้เป็นการแสดงให้ทั่วโลกเห็นว่าไทยไม่ได้เก่งแค่เรื่องระบบเดิม ๆ แต่มีความฉลาด ทันสมัยและอัปเกรดตนเองอยู่ตลอดเวลา
การลงทุนเกือบ 300,000 ล้านบาทนี้ ไม่ได้มาพร้อมแค่ตึก แต่มาพร้อมกับการสร้าง ‘งานคุณภาพสูง’ ที่มีเงินเดือนแพง เช่น วิศวกร Cloud, นักวิทยาศาสตร์ด้านข้อมูล, และผู้เชี่ยวชาญด้าน AI โดยเฉพาะ Google ตั้งเป้าจะฝึกทักษะ AI ให้กับคนไทยเป็นแสนคน นี่คือการสร้างอาชีพใหม่แห่งอนาคตและสร้างความมั่งคั่งให้คนไทย เม็ดเงินมหาศาลนี้จะถูกอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและหมุนเวียนไปทั่วประเทศ การที่ไทยมีความมั่นคงทางโครงสร้างพื้นฐานที่สร้างมาอย่างเงียบ ๆ และยั่งยืนเช่นนี้ กำลังจะกลายเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงมาก เมื่อโลกมาถึงจุดที่ต้องการความแน่นอนและยั่งยืน









