ทำความเข้าใจอุตสาหกรรมที่อยู่รอบตัวเรา
อุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ หนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีบทบาทสำคัญและอยู่คู่กับประเทศไทยมาอย่างยาวนาน โดยมีขนาดตั้งแต่รายย่อยไปจนถึงรายใหญ่ อุตสาหกรรมนี้ถือเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐานที่สนับสนุนอุตสาหกรรมต่าง ๆ และเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของผู้บริโภค ตั้งแต่สินค้าประเภทอาหาร เครื่องดื่ม เสื้อผ้า เครื่องสำอาง ไปจนถึงการทำหน้าที่ปกป้องสินค้าจากความเสียหาย ปัจจุบันประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกสินค้าและบริการ ไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้
การนิยามใหม่ของอุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์

หลายคนอาจคิดว่าอุตสาหกรรมการพิมพ์กำลังจะ “ตาย” โดยเฉพาะเมื่อมองเห็นการลดลงของหนังสือพิมพ์หรือนิตยสาร แต่ความเป็นจริงคืออุตสาหกรรมการพิมพ์ยังไม่ตาย คำนิยามใหม่ของอุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ในปัจจุบันได้ขยายขอบเขตออกไปอย่างกว้างขวาง มันอยู่กับทุกคนตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า ไม่ว่าจะเป็นหลอดยาสีฟัน แปรงสีฟัน หรือแม้แต่แผงวงจรในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น iPad หรือโทรศัพท์มือถือ ก็ล้วนเป็นผลผลิตจากอุตสาหกรรมการพิมพ์ สิ่งนี้ยืนยันว่าอุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์จะไม่มีวันตายอย่างแน่นอน เพราะมันคือ “Supporting Industry” ที่เข้าไปสนับสนุนสินค้าและสื่อทุกประเภทในการสื่อสารกับผู้บริโภคและการตลาด ประเทศไทยมียุทธศาสตร์ด้านอุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ที่ชัดเจนมาตั้งแต่ในอดีต โดยมีสมาคมและหน่วยงานต่าง ๆ เช่น สมาคมการพิมพ์ไทย และกลุ่มอุตสาหกรรมการพิมพ์ในสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ดูแลและรวมตัวของผู้ประกอบการเพื่อทำยุทธศาสตร์ให้ประเทศไทยเป็น “ฮับของการพิมพ์ในภูมิภาคเอเชีย”
ขนาดและมูลค่าทางเศรษฐกิจ
เมื่อพิจารณาในแง่ของเศรษฐกิจ “อุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์” คิดเป็นประมาณ 1.8% ของ GDP ประเทศไทย มีมูลค่ารวมประมาณ 3.5 แสนล้านบาท โดยแบ่งออกเป็นสองส่วนหลักคือ “บรรจุภัณฑ์” คิดเป็น 60% และ “สิ่งพิมพ์” คิดเป็น 40% ของมูลค่าทั้งหมด ในด้านอัตราการเติบโต บรรจุภัณฑ์เติบโตประมาณ 3-4% ในปัจจุบัน ซึ่งไม่ได้จำกัดเพียงการพิมพ์บนกระดาษเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการพิมพ์บนวัสดุบรรจุภัณฑ์หลากหลายชนิด เช่น แก้ว โลหะ หรือพลาสติก ขณะที่ สิ่งพิมพ์นั้นครอบคลุมถึงหนังสือพิมพ์ นิตยสาร Pocketbook คู่มือการใช้งานต่าง ๆ รวมถึงสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น การพิมพ์ลงบนแผงวงจร และที่น่าสนใจคือ “3D Printing” ซึ่งปัจจุบันสามารถผลิตสินค้าได้รวดเร็วขึ้นและใช้วัสดุได้หลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพลาสติก โลหะ หรือไทเทเนียม และนำไปใช้ในวงการบรรจุภัณฑ์ การแพทย์ และวิทยาศาสตร์

**การปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล จากภัยคุกคามสู่โอกาส**
ในอดีตเทคโนโลยีดิจิทัล ถูกมองว่าเป็น Disruption สำหรับอุตสาหกรรมการพิมพ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนิตยสารและหนังสือพิมพ์ที่ได้รับผลกระทบเป็นกลุ่มแรก ๆ อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมนี้ได้เรียนรู้ที่จะปรับตัว โดยมีแนวคิดว่า “การพิมพ์ไม่ตาย แต่ผู้ประกอบการที่ไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองต่างหากที่จะตาย” สิ่งสำคัญคือการ “ปรับตัวให้เป็น Small and Smart” โดยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการเปลี่ยนระบบการพิมพ์จากแบบดั้งเดิมมาเป็นการพิมพ์ดิจิทัล (Digital Printing) ซึ่งช่วยให้สามารถพิมพ์งานจำนวนน้อยได้ (Short Run) ทำงานได้หลากหลายรูปแบบ และตอบโจทย์ On Demand Printing ซึ่งเป็นเทรนด์หลักในการผลิตสิ่งพิมพ์ดิจิทัล นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังเปลี่ยนไปให้บริการที่เกี่ยวข้องกับบรรจุภัณฑ์มากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 ที่ความต้องการบรรจุภัณฑ์ รวมถึงภาชนะบรรจุอาหารเพิ่มสูงขึ้นมาก
Key Takeaway
คำว่า “Creative หรือ อุตสาหกรรมสร้างสรรค์” มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะในระดับ OTOP และ SMEs แนวทางที่ใช้คือ “ภูมิปัญญานำ นวัตกรรมตาม” หมายถึงการดึงเอาสิ่งที่มีอยู่ในท้องถิ่นและชุมชนมาสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยการแปรสภาพผลิตภัณฑ์และปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ในระดับสูงขึ้น การใส่เรื่องของดีไซน์ กราฟิก และฟังก์ชันต่าง ๆ ลงไปในบรรจุภัณฑ์ สามารถทำให้บรรจุภัณฑ์นั้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นและสามารถต่อยอดไปสู่การขายในระดับเมืองหรือแม้กระทั่งต่างประเทศได้ การทำเช่นนี้ทำให้ดิจิทัลกลายเป็น Game Changer ที่ไม่ใช่ Disruption อีกต่อไป หากเราสามารถผสานรวมเทคโนโลยีเข้ากับการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การผสานรวมเทคโนโลยีดิจิทัล: NFC และ IoP
เทคโนโลยีดิจิทัลไม่ได้เข้ามาเพียงเพื่อเสริมงานพิมพ์เท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงยุคสมัยของการสื่อสาร “การพิมพ์คือการสื่อสาร” และมนุษย์ไม่สามารถขาดการสื่อสารได้ ตราบใดที่ยังมีการสื่อสาร การพิมพ์ก็จะยังคงอยู่ ในยุคนี้เราสามารถนำงานพิมพ์ ไม่ว่าจะอยู่บนกระดาษหรือวัสดุใดก็ตาม มาเชื่อมโยงกับโลกดิจิทัลเพื่อสร้างมูลค่าอันมหาศาล เทคโนโลยีอย่าง NFC (Near Field Communication) หรือเทคโนโลยีสื่อสารระยะใกล้ เช่น การใช้โทรศัพท์แตะขึ้นรถไฟฟ้า การ์ดเปิดประตูโรงแรม หรือแม้แต่มือถือเปิดประตูรถยนต์ ก็เป็นตัวอย่างของการนำ NFC มาใช้ NFC อยู่ในโทรศัพท์มือถือของทุกคน และเป็นหนึ่งในมาตรฐานการสื่อสารที่สามารถเชื่อมโยกโลกแอนะล็อกกับโลกดิจิทัลเข้าด้วยกัน นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีอย่าง RFID (Radio-Frequency Identification) ที่ฝังชิปอยู่ในป้ายแท็กเสื้อผ้า ทำให้สามารถคิดเงินสินค้าจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่างานพิมพ์ในวันนี้ไม่ใช่แค่ฉลาก แต่กำลังทำให้สิ่งของต่าง ๆ มีความเป็น IoT (Internet of Things) มากขึ้น เทรนด์นี้เรียกว่า “IoP หรือ Internet of Packaging” ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงบรรจุภัณฑ์กับเทคโนโลยี IoT การนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ทำให้สินค้าสามารถ “เสนอขายตัวเอง” และส่งข้อมูลกลับมาเพื่อพัฒนาการตลาดและสินค้าได้ดียิ่งขึ้น การลงทุนในเทคโนโลยีจึงไม่ใช่แค่การลดต้นทุนแบบเดิม ๆ แต่เป็นการสร้าง Data มหาศาล ซึ่งเป็นความได้เปรียบในการสร้างมูลค่าและโอกาสในอนาคต
เทรนด์สำคัญของบรรจุภัณฑ์ในอนาคต
สำหรับเทรนด์ของบรรจุภัณฑ์ มี 3 เทรนด์หลักที่น่าจับตา:

1. IoP หรือ Internet of Packaging : การเชื่อมโยงบรรจุภัณฑ์กับเทคโนโลยี IoT เพื่อให้เกิดการสื่อสารระหว่างสิ่งพิมพ์กับโลกออนไลน์
2. ความยั่งยืน (Sustainability) : บรรจุภัณฑ์ในอนาคตต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ (Reuse) และรีไซเคิล (Recycle) สอดคล้องกับแนวคิด BCG (Bio-Circular-Green Printing and Packaging) รวมถึงการลดปริมาณ Carbon Footprint และปฏิบัติตามกฎระเบียบการส่งออกของประเทศต่าง ๆ
3. การพิมพ์ดิจิทัล (Digital Printing) : การพิมพ์แบบ On Demand Printing ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางสามารถผลิตสินค้าจำนวนน้อยเพื่อทดสอบตลาดหรือทำโปรโมชั่นได้
ความยั่งยืนและการสร้างคุณค่าร่วมกัน

ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ตระหนักถึงความสำคัญของการผลิตที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยมีการใช้กระดาษรีไซเคิล การใช้ซ้ำในกระบวนการผลิต และการจัดการของเสีย นอกจากนี้ ยังมีการเน้นการออกแบบและใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม เช่น การใช้สีให้น้อยแต่สวยงาม การลดขั้นตอนการพิมพ์ และการเลือกโครงสร้างบรรจุภัณฑ์ที่ช่วยยืดอายุของสินค้า ลดการเน่าเสีย และลดปริมาณขยะ (Waste) เทคโนโลยีดิจิทัลยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างความยั่งยืนผ่าน Traceability หรือ การตรวจสอบย้อนกลับ ซึ่งทำให้สามารถติดตามแหล่งที่มาของสินค้าได้อย่างละเอียด
การเสริมสร้างความแข็งแกร่งและวิสัยทัศน์ในอนาคต
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและหน่วยงานต่าง ๆ มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ โดยมีการจัดสัมมนาให้ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ และขจัดอุปสรรคต่าง ๆ เช่น เรื่อง Anti-Dumping หรือสิทธิประโยชน์ทางภาษี แม้ว่าอุตสาหกรรมนี้อาจไม่ใช่หนึ่งใน New S-Curve โดยตรง แต่ก็เป็นอุตสาหกรรมที่สนับสนุน New S-Curve อื่น ๆ อย่างแน่นอน
วิสัยทัศน์ที่อยากเห็นในอนาคตคือการทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเป็นที่จดจำในฐานะ “ศูนย์กลางการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์” โดยเน้นที่คุณภาพของสินค้าและบริการ มีการจัดการประกวดสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์แห่งประเทศไทย (Thai Print Award) ซึ่งสิ่งพิมพ์ของไทยได้รับรางวัลในระดับนานาชาติอย่างต่อเนื่องเกือบ 10 ปี นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีนิคมอุตสาหกรรมสินสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นนิคมอุตสาหกรรมแห่งเดียวในโลกที่รวมโรงพิมพ์และโรงบรรจุภัณฑ์ไว้อย่างครบวงจร
Industrial Key Success
มุมมองผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเดียวกันควรประสานประโยชน์ในฐานะ **Strategic Partner** ไม่ใช่คู่แข่ง และนโยบายจากภาคอุตสาหกรรมเองก็สนับสนุนให้อุตสาหกรรมนี้เชื่อมโยงและต่อยอดกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ การช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดเล็ก (Micro SMEs) โดยการให้ความรู้ด้านการออกแบบและโครงสร้างบรรจุภัณฑ์ที่ถูกต้อง จะช่วยลดต้นทุน เพิ่มกำไร และยกระดับสินค้าให้สามารถส่งออกได้ โดยเฉพาะการเชื่อมโยงกับนโยบาย Soft Power ของภาครัฐ การนำ Data ที่มีอยู่มากมายบูรณาการกันอย่างเต็มที่ จะทำให้ประเทศไทยเป็นผู้นำทางด้านอุตสาหกรรมหลาย ๆ แขนงได้ ทั้งหมดนี้เป็นการตอกย้ำว่าอุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ของไทยพร้อมอย่างยิ่งที่จะเติบโตและเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความยั่งยืนให้กับโลกของเราในอนาคต










