รัฐบาลไทยกำลังก้าวเข้าสู่ศึกที่ท้าทายที่สุดในยุคนี้ การแข่งขันเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งในตลาดเซมิคอนดักเตอร์โลกที่คาดว่าจะมีมูลค่าถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 ด้วยการตั้งเป้าดึงเงินลงทุนกว่า 500,000 ล้านบาทในระยะเวลา 5 ปี (พ.ศ. 2568-2572) พร้อมเปิดแพ็กเกจสิทธิประโยชน์พิเศษผ่านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุดถึง 8-10 ปี
ทำไมไทยถึงต้องการอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในตอนนี้
อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ไม่ใช่แค่ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ทั่วไปอีกต่อไป แต่เป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนทุกอย่างตั้งแต่ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ศูนย์ข้อมูล (Data Center) ยานยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึง ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ ปัจจุบันตลาดเซมิคอนดักเตอร์โลกมีมูลค่ากว่า 600,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ประเทศไทยมีฐานรากที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มากว่า 50 ปี โดยในปี 2566 มียอดส่งออกสูงถึง 2.5 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 25 ของการส่งออกทั้งหมด ในจำนวนนี้ผลิตภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์เช่นวงจรรวม (IC) มีมูลค่าส่งออกสูงถึง 510,000 ล้านบาท แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นการผลิตขั้นกลางน้ำและปลายน้ำ เช่น การประกอบและทดสอบ (OSAT) และการผลิตแผงวงจร (PCB)
รัฐบาลได้จัดตั้งคณะกรรมการนโยบายอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงแห่งชาติ หรือที่เรียกว่า ‘บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ’ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ และเลขาธิการ BOI ทำหน้าที่เลขานุการ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนนโยบายระดับชาติอย่างจริงจัง
บอร์ดได้อนุมัติกรอบการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง (National Semiconductor and Advanced Electronics Strategy) พร้อมตั้งคณะอนุกรรมการ 2 ชุด คือ คณะอนุกรรมการกำกับการจัดทำยุทธศาสตร์ และคณะอนุกรรมการพัฒนาบุคลากร การจัดระบบแบบนี้จะช่วยให้การทำงานเป็นระบบและสามารถเชื่อมโยงทุกภาคส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สิทธิประโยชน์ BOI พิเศษ และแพ็กเกจ 8 ปีที่น่าสนใจ
BOI ได้ยกระดับสิทธิประโยชน์สำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มตามลำดับความสำคัญของห่วงโซ่อุปทาน(ต้นน้ำ , กลางน้ำ , ปลายน้ำ)
กลุ่มที่ 1 คือการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ต้นน้ำ เช่น การออกแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics Design) การผลิตแผ่นซิลิคอนเวเฟอร์ (Silicon Wafers) และโรงงานผลิตเวเฟอร์ (Wafer FAB) จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 10 ปี นี่เป็นสิทธิประโยชน์สูงสุดเพราะเป็นกิจการที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและสร้างมูลค่าเพิ่มมากที่สุด
สำหรับการผลิตเซมิคอนดักเตอร์กลางน้ำและปลายน้ำ เช่น การคัดแยกเวเฟอร์ (Wafer SORT) การเก็บแบบไดออฟ (Die Bank) การประกอบ (Assembly) และการทดสอบวงจรรวม (IC Testing) จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี หากมีการลงทุนค่าเครื่องจักรไม่น้อยกว่า 1,500 ล้านบาท หรือยกเว้น 5 ปี หากลงทุนน้อยกว่า 1,500 ล้านบาท
นอกจากนี้ โครงการที่มีการลงทุนเพิ่มเติมในการวิจัยและพัฒนา (R&D) จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมสูงสุดถึง 5 ปี และยังได้รับการยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร วัตถุดิบสำหรับผลิตเพื่อส่งออก และอุปกรณ์สำหรับงาน R&D อีกด้วย
เป้าหมาย 500,000 ล้านบาทจะบรรลุได้อย่างไร
การตั้งเป้าดึงเงินลงทุน 500,000 ล้านบาทในระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2568-2572) ไม่ใช่ตัวเลขที่เกินจริง เพราะในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2565-2567) มีการขอรับส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง 406 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุนกว่า 600,000 ล้านบาทแล้ว แสดงให้เห็นว่าตลาดมีความต้องการจริง
BOI ได้จ้างที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลกเพื่อจัดทำยุทธศาสตร์ระดับชาติ ครอบคลุมตั้งแต่การประเมินศักยภาพของประเทศไทย การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการกำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุน ในระดับปฏิบัติการ มีการจัดทำแผนดึงดูดนักลงทุนรายสำคัญอย่างน้อย 10 บริษัทชั้นนำระดับโลกให้เข้ามาลงทุนออกแบบและผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศไทย
ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมคือการที่ BOI เดินทางไปพบหารือกับบริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ เช่น Microchip Technology ที่ลงทุนในไทยมากว่า 30 ปี NXP Semiconductors ผู้นำชิปยานยนต์ที่ลงทุนในไทยมากว่า 50 ปี และ Analog Devices (ADI) ที่กำลังเตรียมจัดตั้งศูนย์วิจัยและออกแบบชิปต้นน้ำในไทย รวมถึงการเจรจากับ Intel และ Qorvo ที่เป็นผู้เล่นหลักในตลาดโลก
การพัฒนาบุคลากร คือรากฐานสำคัญของอุตสาหกรรมอันดับ 1
ไม่มีอุตสาหกรรมใดที่จะเติบโตได้โดยไม่มีคนที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะทาง รัฐบาลได้กำหนดเป้าหมายพัฒนาบุคลากรไม่น้อยกว่า 80,000 คนใน 5 ปี โดยเฉพาะนักวิจัยระดับสูงที่มีวุฒิปริญญาโทและเอกจำนวน 1,400 คน
กระทรวงอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ได้ลงนามความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแอริโซนา (ASU) ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสถาบันหลักในการพัฒนาบุคลากรด้านเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อพัฒนาหลักสูตรและการฝึกอบรม รวมถึงจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านเซมิคอนดักเตอร์ในไทย มีการตั้งศูนย์ฝึกอบรม 6 แห่ง พร้อมโปรแกรม Upskill และ Reskill หลักสูตรการศึกษารูปแบบใหม่ เช่น Sandbox และโปรแกรมฝึกงานนานาชาติ
ประเทศไทยมีข้อได้เปรียบที่สำคัญหลายประการ ประการแรกคือมีประสบการณ์ในการเป็นฐานผลิตอิเล็กทรอนิกส์มากว่า 50 ปี โดยเฉพาะในขั้นตอนการประกอบและทดสอบ ทำให้มีพื้นฐานแข็งแกร่งในการต่อยอดสู่เทคโนโลยีขั้นสูง
ประการที่สองคือตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้สะดวกในการขนส่งและกระจายสินค้าไปยังตลาดหลัก และประการสุดท้ายคือการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ด้วยนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่ชัดเจนและแพ็กเกจสิทธิประโยชน์ที่น่าสนใจ
ตั้งแต่ปี 2561 ถึงกันยายน 2567 มีการขอรับส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้ารวมกว่า 1,213 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 876,328 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจากสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ยุโรป จีน และไต้หวัน แสดงให้เห็นว่านักลงทุนต่างชาติมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของไทย
เป้าหมาย Made-in-Thailand Chip
ยุทธศาสตร์ “Made-in-Thailand Chip” มุ่งสร้างอุตสาหกรรมผลิตชิปตั้งแต่การวิจัยพัฒนา การออกแบบ จนถึงการผลิตอย่างครบวงจร นี่ไม่ใช่แค่การประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แต่เป็นการก้าวเข้าสู่กระบวนการผลิตต้นน้ำที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูงสุดในห่วงโซ่อุปทาน เช่น การออกแบบวงจรรวม (IC Design) และการผลิตแผ่นเวเฟอร์ (Wafer Fabrication)
การสร้างฐานอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จะสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยในวงกว้าง เพราะจะดึงดูดการลงทุนในธุรกิจเกี่ยวเนื่องหลายประเภท เช่น วิศวกรรมและก่อสร้าง ซัพพลายเออร์วัตถุดิบและอุปกรณ์ระดับความแม่นยำสูง ผู้ให้บริการขนส่งและโลจิสติกส์เฉพาะทาง รวมถึงบริการด้านการศึกษาและฝึกอบรมเฉพาะทาง
แม้ว่าแผนจะดูสมบูรณ์ แต่การแข่งขันในอุตสาหกรรมนี้รุนแรงมาก ประเทศต่างๆ ในภูมิภาค เช่น เวียดนาม มาเลเซีย และสิงคโปร์ ล้วนมีนโยบายดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เช่นกัน ไทยจำเป็นต้องสร้างความแตกต่างและข้อได้เปรียบที่ชัดเจน
การพัฒนาบุคลากรระดับสูงที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางต้องใช้เวลาและการลงทุนมหาศาล การที่รัฐบาลจับมือกับมหาวิทยาลัยต่างประเทศและเปิดศูนย์ฝึกอบรมหลายแห่งเป็นก้าวสำคัญ แต่จะต้องมีการติดตามและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย 80,000 คนใน 5 ปี
หากประเทศไทยสามารถดึงการลงทุน 500,000 ล้านบาทได้สำเร็จ จะเป็นการวางรากฐานสำคัญให้ไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีขั้นสูงของภูมิภาค การมีอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่แข็งแกร่งจะช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศในอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า หุ่นยนต์ และระบบอัตโนมัติ
การที่นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญโดยรับเป็นประธานบอร์ดเซมิคอนดักเตอร์ด้วยตนเอง จะช่วยเร่งสร้างความร่วมมือที่เป็นเอกภาพระหว่างภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคเอกชน การทำงานแบบบูรณาการนี้จะทำให้สามารถกำหนดทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมและมาตรการสนับสนุนได้อย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนและการวิจัยขั้นสูง
ยุทธศาสตร์เซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติจึงไม่ใช่แค่การดึงดูดการลงทุน แต่เป็นการปูทางสู่การเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจที่จะทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นผู้เล่นสำคัญในห่วงโซ่มูลค่าโลกของอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ความสำเร็จของแผนนี้จะเป็นตัวกำหนดอนาคตทางเศรษฐกิจของประเทศในทศวรรษหน้า










