vietnam surpasses thailand economy 2029

เวียดนามแซงหน้าไทยแล้วจริงหรือ ? 

Date Post
12.09.2025
Post Views

คำถามลึกที่ผู้นำคนใหม่ต้องหาคำตอบ เมื่อข่าวเวียดนามขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดดด้วย ระหว่าง AI และอุตสาหกรรมการผลิตแว่วเข้ามาในหู หลายคนอาจตั้งคำถามว่านี่เป็นเพียงหัวข้อข่าวธรรมดา หรือสัญญาณเตือนที่ประเทศไทยต้องตื่นตัว ? เมื่อมองดูตัวเลขและแนวโน้มต่างๆ แล้ว คำตอบอาจทำให้หลายคนต้องสะดุ้ง

เรื่องจริงที่เริ่มเห็นชัดขึ้น ?

ตามรายงานของ Bangkok Bank ระบุชัดเจนว่า เวียดนามจะสามารถแซงหน้าไทยในเรื่อง GDP รวมได้ภายในปี 2029 เหลือเวลาอีกไม่กี่ปีเท่านั้น ในขณะที่ GDP ของไทยเติบโตเพียง 2-3% ต่อปีหลังจากโควิด เวียดนามยังคงขยายตัวได้ 6-7% อย่างต่อเนื่อง

สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ อายุเฉลี่ยของคนเวียดนามอยู่ที่ 30 ปี ในขณะที่คนไทยมีอายุเฉลี่ย 40 ปี นี่หมายความว่า เวียดนามมีแรงงานวัยผลิตที่มากกว่า การบริโภคที่แข็งแกร่งกว่า และความสามารถในการปรับตัวที่ดีกว่า ขณะที่ไทยกำลังเผชิญกับการเป็นสังคมผู้สูงอายุที่เร็วที่สุดในอาเซียน

จากรายงานของนักวิเคราะห์ TDRI ชี้ให้เห็นว่า ไทยที่เคยมีเป้าหมายจะเป็นประเทศรายได้สูงภายในปี 2036 แต่ตอนนี้อาจต้องรอไปจนถึงปี 2088-2093 จึงจะบรรลุเป้าหมายนี้ได้ ขณะเดียวกัน เวียดนามตั้งเป้าไว้ในปี 2045 และดูเหมือนว่าจะสามารถทำได้ตามที่เจ้าตัวโม้เอาไว้ซะด้วย

การแข่งขันด้านการลงทุนที่เวียดนามนำไทยขาดลอย

ในปี 2023 การส่งออกของเวียดนามคิดเป็น 93% ของ GDP ในขณะที่ไทยมีเพียง 64% เวียดนามได้แสดงให้เห็นถึงความเร็วในการเจรจาและลงนามข้อตกลงการค้าเสรี โดยในทศวรรษที่ผ่านมาได้ลงนามข้อตกลงการค้าเสรีมากกว่าประเทศใดในอาเซียน

บริษัทข้ามชาติอย่าง Samsung, Intel และ Nike กำลังลงทุนอย่างหนักในเวียดนาม สิ่งที่ดึงดูดพวกเขาไม่ใช่เพียงความได้เปรียบด้านต้นทุน แต่ยังรวมถึงการเข้าถึงการค้า การดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ และความชัดเจนของนโยบายจากภาครัฐ

ไทยเสียโอกาสเพราะติดหล่มในวงจรการเมือง

วิกฤตการเมืองเมื่อผู้นำถูกเปลี่ยนไปเรื่อย

ในเดือนสิงหาคม 2024 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ เศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง กรณีแต่งตั้งบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เหตุการณ์นี้นับเป็นอีกครั้งที่การบริหารประเทศต้องหยุดชะงักกลางคัน และสะท้อนถึงปัญหาความไม่มั่นคงทางการเมืองที่ยังคงดำรงอยู่ในประเทศไทย

ปี 2025 กลายเป็นปีแห่งความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทย เมื่อนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ถูกศาลรัฐธรรมนูญยกเลิกตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 29 สิงหาคม 2025 ด้วยคะแนนเสียง 6-3 จากการกระทำที่ศาลเห็นว่าเป็นการละเมิดจรรยาบรรณ เธอนับได้ว่าเป็นคนที่ 3 ในตระกูลชินวัตรที่ถูกปลดออกจากอำนาจในช่วงราว ๆ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา 

ขณะที่เวียดนามกำลังผลักดันแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 1.5 ล้านล้านบาท (ประมาณ 48.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ใน 250 โครงการทั่วประเทศ ไทยกลับต้องเสียเวลาไปกับการเจรจาหาผู้นำใหม่ การต่อรองแบ่งอำนาจ และความไม่แน่นอนของนโยบาย

ความสามารถในการแข่งขันที่ถดถอย

รายงาน IMD World Competitiveness Ranking 2025 ชี้ให้เห็นว่า อันดับความสามารถในการแข่งขันของไทยร่วงลงจากอันดับ 25 ในปี 2024 มาอยู่ที่อันดับ 30 ในปี 2025 การลดลงนี้เกิดขึ้นในทุกหลักเสา โดยเฉพาะประสิทธิภาพของรัฐบาลที่ตกจากอันดับ 24 มาเป็นอันดับ 32

สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไทยไม่มีใครสนใจแล้ว” นักลงทุนสถาบันและธนาคารใหญ่ๆ แทบไม่มีความสนใจในพันธบัตรไทยหรือหุ้นกู้บริษัทไทย ผู้นำโลกจากมหาอำนาจไม่ให้ความสำคัญกับการเยือนไทยอีกต่อไป

ปัญหางบประมาณและการลงทุน

แม้ว่าไทยจะอนุมัติแผนลงทุน AI มูลค่า 25,000 ล้านบาท (774 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลประมาณ 500,000 ล้านบาท แต่ปัญหาคือการดำเนินการที่ช้า และความไม่ต่อเนื่องของนโยบาย

การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น

เวียดนามได้เปิดตัวแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคิดเป็น 10% ของ GDP มีมูลค่าประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจไปสู่ระดับ 8% ในปี 2025 ขณะเดียวกัน สิงคโปร์และมาเลเซียก็ได้เปิดตัว Johor-Singapore Special Economic Zone เพื่อแย่งชิงการลงทุน

ปัญหาโครงสร้างที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข: ไทยยังคงประสบปัญหาขาดแคลนทักษะด้านเทคโนโลยี การเข้าถึงเงินทุนที่จำกัดสำหรับ SME และการลงทุนเอกชนในเศรษฐกิจดิจิทัลที่มีเพียง 4% ของ GDP

เรายังมีหวังแต่ต้องทำให้เร็วกว่าเดิม

แม้จะเผชิญกับความท้าทาย แต่ไทยยังคงมีจุดแข็งสำคัญ ไทยยังคงนำหน้าในอุตสาหกรรมยานยนต์ขั้นสูง รถยนต์ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ที่ซับซ้อน โครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนาแล้วและความเชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมยังคงเป็นจุดแข็งที่สำคัญ

การใช้จ่ายด้าน IT ของไทยคาดว่าจะเติบโตไปสู่ระดับ 996,000 ล้านบาท (29 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในปี 2025 เพิ่มขึ้น 7.9% จากปี 2024 การลงทุนในศูนย์ข้อมูลจะเติบโตสูงสุดที่เกือบ 17% ตามมาด้วยซอฟต์แวร์ที่ 16.1%

  • การปฏิรูประบบราชการ – เวียดนามกำลังดำเนินการปฏิรูประบบราชการ ลดจำนวนกระทรวง และค่าใช้จ่ายเพื่อลดความซ้ำซ้อน ไทยจำเป็นต้องทำในทำนองเดียวกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
  • การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศ – ไม่ใช่แค่ในพื้นที่ EEC เท่านั้น แต่ต้องกระจายการพัฒนาไปยังทั่วประเทศเพื่อให้ SME ที่คิดเป็น 99.5% ของบริษัทไทยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้มากขึ้น
  • การสร้างความต่อเนื่องของนโยบาย – ผู้นำคนใหม่จะต้องมีความกล้าหาญในการตัดสินใจที่จำเป็น แม้ว่าจะไม่ได้รับความนิยมในระยะสั้น และต้องสร้างกลไกที่ทำให้นโยบายสำคัญสามารถดำเนินต่อไปได้แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนรัฐบาล

เราเหลือเวลาอีกกี่ปี ?

เมื่อเวียดนามกำลังเร่งความเร็วในการพัฒนา และมีแผนชัดเจนที่จะเป็นประเทศรายได้สูงภายในปี 2045 ขณะที่ไทยยังคงติดอยู่ในวงจรความไม่แน่นอนทางการเมือง คำถามที่ต้องตอบคือ ผู้นำคนใหม่ของไทยจะสามารถ ‘แก้เกม’ นี้ได้ทันหรือไม่?

หน้าต่างแห่งโอกาสกำลังปิดลง เวียดนามไม่ได้รอใคร แต่กำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ไทยต้องการผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ระยะยาว ความกล้าหาญในการตัดสินใจ และที่สำคัญที่สุดคือ ความสามารถในการสร้างความต่อเนื่องของการพัฒนาประเทศให้เหนือกว่าการเมือง

คำตอบของคำถามเหล่านี้จะไม่ได้อยู่ที่คำพูดหรือสัญญาหาเสียง แต่อยู่ที่การกระทำที่เป็นรูปธรรมและการดำเนินการที่สอดคล้องกันในอีก 5 ปีข้างหน้า เพราะหากไม่ดำเนินการอะไรเลย ไทยอาจต้องยอมรับความจริงที่ว่า ‘เสือแห่งเอเชีย’ กำลังถูกแซงโดย ‘มังกรใหม่แห่งอินโดจีน’ อย่างเป็นทางการ


Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Pisit Poocharoen
Former field engineer seeking to break free from traditional learning frameworks. อดีตวิศวกรภาคสนามที่ต้องการหลุดออกจากกรอบการเรียนรู้แบบเดิม ๆ