ความท้าทายที่เราเผชิญอยู่ทุกวันในการจัดการของเสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘ขยะอิเล็กทรอนิกส์’ หรือ E-Waste ที่นับวันจะทวีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจและ ‘ฝุ่นแดง’ ที่เป็นภัยเงียบจากกระบวนการอุตสาหกรรมและขยะที่แฝงเข้ามา ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงภาระของโรงงานจัดการขยะเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของพวกเราทุกคนและสิ่งแวดล้อมที่เราอาศัยอยู่ MMThailand จะมาแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ เพื่อให้เราทุกคนเข้าใจถึงภัยอันตรายที่แท้จริงจากขยะเหล่านี้ และร่วมกันหาวิธีจัดการและรับมือกับมันได้อย่างถูกต้องที่สุด เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของสังคมสีเขียวของเรา
ภัยเงียบจากขยะอิเล็กทรอนิกส์
ขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือที่เรียกกันว่า E-Waste (Electronic Waste) นั้นหมายถึง ซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิดที่หมดอายุการใช้งาน ล้าสมัย หรือไม่เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ชิ้นเล็กอย่างโทรศัพท์มือถือ , หูฟัง , สายชาร์จแบตเตอรี่ , พาวเวอร์แบงก์ ไปจนถึงอุปกรณ์ขนาดใหญ่อย่างตู้เย็น , เครื่องซักผ้า , โทรทัศน์ หรือแม้แต่เครื่องคอมพิวเตอร์ ปัญหาคือเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและการแข่งขันทางการตลาดที่ทำให้ราคาอุปกรณ์เหล่านี้ถูกลงอย่างมาก ทำให้ผู้บริโภคเปลี่ยนเครื่องใหม่บ่อยครั้ง และอุปกรณ์เก่าก็กลายเป็นขยะอย่างรวดเร็ว
ปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกในปี 2019 สูงถึง 53.6 ล้านเมตริกตัน และในปี 2025 อยู่ระหว่าง 62-65 ล้านตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 21 ในเวลาเพียง 5 ปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่าอาจมีมากถึง 74.7 ล้านตันภายในปี 2030 สำหรับประเทศไทยเอง มีขยะอิเล็กทรอนิกส์จากชุมชนกว่า 380,000 ตันต่อปี ซึ่งปริมาณขยะเหล่านี้ถือว่าใกล้เคียงกับบรรจุภัณฑ์พลาสติกแล้ว แต่มีความอันตรายมากกว่าหลายเท่าตัว
สิ่งที่ทำให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นภัยที่ร้ายกาจคือ ‘สารพิษ’ ที่ปนเปื้อนอยู่ในชิ้นส่วนต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นโลหะหนักอย่าง ตะกั่ว , ปรอท , แคดเมียม , โครเมียม , สารหนู , นิกเกิล , เบริลเลียม , แบเรียม , พลวง รวมถึงสารประกอบพลาสติกที่มีสารหน่วงการติดไฟกลุ่มโบรมีน (PBDEs, PBBs), โพลีคลอริเนตไบฟีนิล (PCBs), คลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFCs) ในตู้เย็นและเครื่องปรับอากาศรุ่นเก่า สารเหล่านี้เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อร่างกายและสิ่งแวดล้อม เช่น
- ตะกั่วส่งผลต่อระบบประสาท , สมอง , ไต , ระบบสืบพันธุ์ และพัฒนาการของเด็ก
- ปรอททำลายระบบประสาท , สมอง , ไต , ปอด และอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์
- แคดเมียมส่งผลต่อไต, กระดูก, ปอด และเป็นสารก่อมะเร็ง
นอกจากนี้ การเผาไหม้สารประกอบพลาสติกยังปล่อยก๊าซพิษอย่างไดออกซินและฟิวแรน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งผลกระทบเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในพื้นที่ใกล้เคียงเท่านั้น แต่สามารถแพร่กระจายสู่ดิน , น้ำ , อากาศ และเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ได้ การจัดการที่ไม่เหมาะสมจะนำไปสู่ปัญหาสุขอนามัย , มลพิษ และส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโดยรวม
ความเข้าใจผิดในการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์
สิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่งคือ ความเข้าใจผิดและการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ถูกวิธีหลายคนยังคงทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์รวมกับขยะมูลฝอยทั่วไปในบ้าน ซึ่งเป็นวิธีที่อันตรายอย่างยิ่ง เมื่อขยะเหล่านี้ถูกนำไปรวมกับขยะทั่วไป การแยกสารพิษออกมาจึงทำได้ยากและหากถูกนำไปกำจัดด้วยวิธีที่ผิดหลักเช่น การฝังกลบหรือการเผา ก็จะยิ่งสร้างปัญหามหาศาล
การฝังกลบขยะอิเล็กทรอนิกส์นั้นไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่บางคนคิด เพราะสารพิษและโลหะหนักต่างๆ เช่น ยังสามารถรั่วไหลลงสู่ดินและแหล่งน้ำได้ ทำให้เกิดการปนเปื้อนในแหล่งน้ำทั้งบนผิวดินและใต้ดิน ซึ่งจะถูกนำไปใช้ในการบริโภคและอุปโภคในชีวิตประจำวันของเรา การปนเปื้อนเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อระบบประสาท, ไต, กระดูก และพัฒนาการของเด็กในระยะยาว
ส่วนการเผาขยะอิเล็กทรอนิกส์ นั้นเป็นวิธีที่อันตรายที่สุด เราขอยืนยันว่าการเผาอุปกรณ์ที่มีสารเคมีหรือพลาสติกโดยไม่ผ่านกระบวนการควบคุมที่เหมาะสมนั้น จะปล่อยสารพิษที่เป็นอันตรายร้ายแรงสู่ชั้นบรรยากาศโดยตรง ควันพิษที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศและก่อให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็กอย่าง PM 2.5 เท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดสารก่อมะเร็งอย่างไดออกซินและฟิวแรน และสารเคมีอื่นๆ ที่เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ , ระบบประสาท , ระบบหัวใจ , ระบบสืบพันธุ์ และอาจถึงแก่ชีวิตได้ ในหลายประเทศกำลังพัฒนา เช่น ที่ประเทศกานา มีการเผาขยะอิเล็กทรอนิกส์เพื่อสกัดโลหะมีค่า เช่น ทองแดงและทองคำ ซึ่งทำให้เกิดควันพิษหนาทึบและส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนงานและผู้อยู่อาศัยในพื้นที่โดยรอบอย่างร้ายแรง แม้แต่ในประเทศไทยเองก็ยังพบ การกระทำเช่นนี้ในบางพื้นที่ชุมชนคัดแยกขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีการเผาสายไฟและชิ้นส่วนพลาสติก การเผาขยะอิเล็กทรอนิกส์ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศและสุขภาพที่รุนแรงครับ
ภัยคุกคามใหม่ ‘ฝุ่นแดง’ จากขยะอุตสาหกรรมและขยะอิเล็กทรอนิกส์
นอกเหนือจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เราคุ้นเคยกันดีแล้ว ยังมีภัยคุกคามอีกประเภทหนึ่งที่โรงงานอุตสาหกรรมและประชาชนทั่วไปควรตระหนักถึงอย่างยิ่ง นั่นคือ ‘ฝุ่นแดง’ ซึ่งเป็นหนึ่งในของเสียอันตรายที่ถูกลักลอบนำเข้าสู่ประเทศไทย นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่จะมองข้ามได้ เพราะฝุ่นแดงจัดเป็น ของเสียอันตรายที่ต้องได้รับการกำจัดอย่างถูกวิธี และหากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนอย่างรุนแรง
ฝุ่นแดงที่เราพูดถึงนี้ มักมาจากการลักลอบดำเนินธุรกิจรีไซเคิลแบบ ‘ศูนย์เหรียญ’ โดยบริษัทต่างชาติ และประเทศที่นิยมลักลอบนำเข้ามากที่สุดเลยนั้นมาจากประเทศจีน หลังจากที่จีนออกกฎหมายห้ามนำขยะมีพิษเข้าประเทศในปี 2561 ประเทศต้นทางก็เปลี่ยนมาส่งขยะเหล่านี้ให้ประเทศที่มีใบอนุญาตนำเข้าแทน และไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น แม้จะมีกฎหมายที่ระบุว่าการนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ต้องได้รับอนุญาตจากกระทรวงอุตสาหกรรมและมีการจัดการอย่างถูกต้อง แต่ก็ยังมีการลักลอบนำเข้าจำนวนมาก โดยบางครั้งปะปนมากับขยะพลาสติกในตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ศุลกากรก็อาจสุ่มตรวจได้ไม่ทั่วถึงและเพียงพอ
กระบวนการเหล่านี้มักเกิดขึ้นโดยบริษัทที่ต้องการเพียงสกัดเอาแร่ธาตุที่มีมูลค่าออกจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ แล้วกำจัดส่วนที่เหลือด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง เช่น การฝังกลบหรือการเผาอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งส่งผลให้สารพิษกระจายสู่สิ่งแวดล้อมและก่อให้เกิดมลพิษในพื้นที่ใกล้เคียง
ความอันตรายของฝุ่นแดงนั้นมาจากคุณสมบัติที่เป็นอนุภาคเล็กมากและเป็นโลหะชนิดฝุ่นที่สามารถชะล้างออกและปนเปื้อนในน้ำและดินได้ง่าย หากฝุ่นแดงปนเปื้อนในแหล่งน้ำหรือพื้นที่การเกษตร จะส่งผลให้ระบบนิเวศได้รับสารพิษที่เป็นอันตราย นอกจากนี้หากสัมผัสฝุ่นนี้โดยตรง หรือได้รับทางอ้อมจากการสูดดม หรือผ่านฝุ่น PM2.5 ที่มีการปนเปื้อนโลหะหนัก ก็จะส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ, ระบบประสาท และเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งได้ การนำเข้าขยะอันตรายเหล่านี้ถือเป็นการเคลื่อนย้ายข้ามแดนแบบผิดกฎหมายภายใต้อนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด
ซึ่งกรมโรงงานอุตสาหกรรมในฐานะหน่วยงานที่มีอำนาจตามอนุสัญญาบาเซลฯ จะต้องดำเนินการแจ้งส่งคืนตู้สินค้ากลับไปยังประเทศผู้ส่งออกต้นทางทันที และแจ้งสำนักเลขาธิการอนุสัญญาบาเซลเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายข้ามแดนแบบผิดกฎหมายต่อไป ในภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องระมัดระวังและไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการลักลอบนำเข้าของเสียอันตรายเหล่านี้ เพราะนอกจากจะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายแล้ว ยังเป็นการสร้างปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพให้กับประเทศชาติอย่างใหญ่หลวงอีกด้วย
บทบาทที่เราร่วมสร้างสังคมสีเขียวด้วยการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างยั่งยืน
ผมเชื่อว่าการจัดการขยะที่ดีที่สุดเริ่มต้นที่ต้นทาง และพวกเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรมหรือประชาชนทั่วไป ล้วนมีบทบาทสำคัญในการร่วมกันแก้ไขปัญหานี้ เพื่อสร้างสังคมสีเขียวและรักษาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน ‘ทุกอย่างเริ่มต้นที่เรา’ ครับ
ลดการสร้างขยะตั้งแต่ต้นทาง
ขั้นแรกและสำคัญที่สุดคือการ ลดการสร้างขยะตั้งแต่ต้นทาง ก่อนที่เราจะซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ชิ้นใหม่ ควรคิดให้รอบคอบถึงความจำเป็นและการใช้งานจริง เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และเหมาะสมกับการใช้งาน เพื่อให้มีอายุการใช้งานที่คงทนและยาวนานที่สุด การวิ่งตามเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่เสมอ โดยเปลี่ยนเครื่องใหม่บ่อยครั้งทั้งที่เครื่องเก่ายังใช้งานได้ดี เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว การยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์จึงเป็นการลดขยะที่ได้ผลอย่างแท้จริง
ใช้ซ้ำและซ่อมแซม (Reuse & Repair)
แทนที่จะทิ้งอุปกรณ์ที่ชำรุดหรือล้าสมัยไป ควรพิจารณาถึงการซ่อมแซมเมื่ออุปกรณ์ชำรุด ในปัจจุบันมีข้อมูลและแหล่งเรียนรู้มากมายทางอินเทอร์เน็ตที่สามารถช่วยให้เราซ่อมแซมอุปกรณ์เล็กๆ น้อยๆ ได้เอง หรือนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญซ่อมแซม ซึ่งไม่เพียงช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย แต่ยังลดปริมาณขยะที่จะถูกทิ้งสู่โลกด้วย
นอกจากนี้หากอุปกรณ์ของเรายังคงใช้งานได้ดี แต่เราไม่ต้องการใช้แล้ว การส่งต่อประโยชน์ด้วยการบริจาค ให้กับผู้ที่ต้องการหรือองค์กรการกุศล ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยยืดอายุการใช้งานและลดขยะได้อย่างมีคุณค่า
การคัดแยกและทิ้งอย่างถูกวิธี (Separate & Proper Disposal)
นี่คือขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งทุกคนสามารถทำได้ทันทีในครัวเรือนของตนเอง ห้ามทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์รวมกับขยะมูลฝอยทั่วไปเด็ดขาด เพราะการปะปนจะทำให้สารพิษรั่วไหลและเป็นอันตรายต่อผู้ที่จัดเก็บหรือจัดการขยะโดยไม่ได้รับการป้องกันที่เพียงพอ
คัดแยกขยะอิเล็กทรอนิกส์ออกจากขยะประเภทอื่นก่อนทิ้ง ควรถอดแบตเตอรี่ออกจากอุปกรณ์เสมอ เนื่องจากแบตเตอรี่มีสารเคมีอันตรายและควรแยกกำจัดด้วยวิธีที่เฉพาะเจาะจง สำหรับอุปกรณ์ที่มีข้อมูลส่วนตัว เช่น โทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ ควรลบข้อมูลส่วนตัวออกให้เรียบร้อยก่อนนำไปทิ้ง เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล
และนำขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่คัดแยกแล้วไปทิ้ง ณ จุดบริการรับทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่จัดเตรียมไว้ จุดเหล่านี้มีอยู่หลากหลายช่องทาง ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เช่น
โครงการ ‘คนไทยไร้ E-Waste’ ของ AIS ซึ่งเป็นศูนย์กลางในการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ มีจุดรับทิ้งกว่า 2,700 จุดทั่วประเทศ คุณสามารถฝากทิ้งกับบุรุษไปรษณีย์ได้ฟรี หรือใช้แอปพลิเคชัน E-Waste+ เพื่อความสะดวกในการค้นหาจุดทิ้งและนัดหมาย นอกจากนี้ โครงการ ‘จุฬาฯ รักษ์โลก’ ก็รับบริจาคโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และอุปกรณ์เสริมเพื่อนำไปกำจัดอย่างถูกวิธีเช่นกัน
ในส่วนของภาครัฐสามารถติดต่อทิ้งขยะในสำนักงานเขตต่างๆ ได้ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่งก็เริ่มจัดจุดรับทิ้งของเสียอันตรายจากชุมชน เพื่อหลีกเลี่ยงการกำจัดที่ไม่เหมาะสม เช่น การแกะหรือแยกชิ้นส่วนแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ แบตเตอรี่รถยนต์ หรือถ่านไฟฉายด้วยตนเอง รวมถึงการทิ้งรวมกับขยะทั่วไป
การสนับสนุนนโยบายและความร่วมมือ (Support Policies & Collaboration)
การแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ภาคประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการ สนับสนุนนโยบายและกฎหมายเกี่ยวกับการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งภาครัฐได้มีความพยายามในการยกร่างกฎหมายเพื่อจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มาโดยตลอด เช่น การผลักดันหลักการ ความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นของผู้ผลิต(Extended Producer Responsibility: EPR) ซึ่งจะให้ผู้ผลิตมีส่วนรับผิดชอบในการเก็บรวบรวมและบำบัดซากผลิตภัณฑ์ของตน
การสนับสนุนการรีไซเคิลและนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่นั้นเป็นสิ่งสำคัญ เพราะช่วยลดมลพิษ ลดการใช้ทรัพยากรใหม่ ลดภาวะโลกร้อน และส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน การรีไซเคิลโทรศัพท์มือถือ เครื่องสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 12.6 กิโลกรัม ดังนั้นการที่เราทุกคนร่วมสร้างจิตสำนึกและเป็นเครือข่าย Green Community ในการจัดการขยะ จะเป็นกำลังสำคัญที่ขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม
ผมขอย้ำว่า ปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์และฝุ่นแดง ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ผลกระทบที่เกิดขึ้นส่งผลต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การจัดการขยะอย่างมีความรับผิดชอบจึงเป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคน การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของปัญหานี้ และลงมือทำอย่างจริงจังในชีวิตประจำวันของตนเอง
ไม่ว่าจะเป็นการคิดก่อนซื้อ , ใช้ให้คุ้มค่า , ซ่อมแซมเมื่อชำรุด , บริจาค , และที่สำคัญที่สุดคือ การคัดแยกและทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ในจุดที่กำหนดอย่างถูกวิธี เพื่อลดภาระของโลก ลดมลพิษ และส่งต่อสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับลูกหลานของเราในอนาคต หากเราทุกคนร่วมมือกันทุกอย่างเริ่มต้นที่เราครับ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- https://www.pcd.go.th/wp-content/uploads/2022/03/pcdnew-2022-03-15_09-45-23_764381.pdf
- https://www.thansettakij.com/economy/629688
- https://www.bbc.com/thai/articles/clyrp253yd7o
- เอกสารประกอบการเสวนาวิชาการ เรื่อง “ขยะอิเล็กทรอนิกส์: จัดการอย่างไรให้ปลอดภัย?” จัดโดยสถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- แนวทางการเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยง กรณีขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยกรมอนามัย และ กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข
- https://sustainability.ais.co.th/th/update/e-waste/788/what-is-ewaste
บทความที่น่าสนใจ











