ในเช้าวันเสาร์ที่กรุงปักกิ่ง เวทีสนามฟุตบอลขนาดเล็กกลายเป็นที่จับตามองของผู้ชมเมื่อหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ ขนาดเท่าเด็กประถม 5-6 ตัว วิ่งปรี่เข้าใส่ลูกบอลด้วยลีลาที่ดูชวนอมยิ้มมากกว่าการแข่งขันกีฬาจริง ๆ เสียอีก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ต่างไปจากวันเปิดการแข่งขันเมเจอร์ลีกเยาวชน ที่ทุกคนต่างอยากลงสนามเพื่อสนุกกับเกม มากกว่าจะกังวลถึงผลลัพธ์สุดท้าย ท่วงท่าการจับลูกบอล การเลี้ยงหลบคู่แข่ง หรือแม้แต่จังหวะพลาดล้มหงายหลัง กลับยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงอุปสรรคและความท้าทายของการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้งานในโลกแห่งความเป็นจริง แต่ท่ามกลางเสียงหัวเราะและการปรบมือก็ยังมีกระแสตื่นเต้นที่จ้องมองไปยังพัฒนาการใหม่ของหุ่นยนต์ที่ อาจพลิกโฉมหน้าวงการอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ไปอย่างสิ้นเชิง
เทคโนโลยี AI ฝังตัวขับเคลื่อนหุ่นยนต์
แม้ว่าในการแข่งขันจริง ๆ จะมีจังหวะการล้มทับกัน การวิ่งออกนอกกรอบสนาม หรือแม้กระทั่งการล้มแล้วลุกไม่ขึ้นอยู่อย่างต่อเนือง แต่นั่นก็ไม่ได้ลดทอนความสำคัญของเทคโนโลยีเบื้องหลังแต่อย่างใด โดยหุ่นยนต์แต่ละตัวถูกออกแบบให้ทำงานโดยอิสระ ไม่ต้องอาศัยการควบคุมหรือคำสั่งใดจากมนุษย์ขณะแข่งขันเลย พวกมันติดตั้งเซนเซอร์ภาพความละเอียดสูงที่ช่วยระบุตำแหน่งลูกฟุตบอลบนสนาม และสามารถคำนวณเส้นทางการเดินเพื่อจะไปยังลูกบอลได้ แม้ว่าการเคลื่อนไหวจะดูติดขัดและคล่องตัวไม่เท่ามนุษย์ แต่นี่คือก้าวแรกของการนำ AI มาใช้ขับเคลื่อนระบบหุ่นยนต์ให้มีความยืดหยุ่นและตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมโดยรอบได้ด้วยตัวเอง
เมื่อหุ่นยนต์ล้มลง ระบบจะสั่งให้พวกมันกลับมายืนด้วยตัวเอง ด้วยการปรับสมดุลและใช้ส่วนประกอบเครื่องกลหมุนเวียนช่วยในการพยุงตัว แต่น้ำหนักตัวที่ค่อนข้างมากทำให้บางครั้งหุ่นยนต์ต้องการความช่วยเหลือจากมนุษย์จริง ๆ ให้ลากออกจากสนามในลักษณะเดียวกับนักกีฬาที่ได้รับบาดเจ็บ ความพยายามในการให้หุ่นยนต์ลุกขึ้นเองทุกครั้งจึงเป็นเหมือนการฝึกซ้อมที่ทั้งสร้างความประทับใจและเตือนให้เห็นว่าหลายองค์ประกอบยังต้องการการปรับปรุงอีกมาก
การลงทุนและความคืบหน้าในวงการหุ่นยนต์ของจีน
เบื้องหลังภาพแห่งความสนุกสนานนี้ คือการลงทุนมหาศาลของจีนที่ทุ่มเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อยกระดับเทคโนโลยีหุ่นยนต์ให้ก้าวไปอีกขั้น งานวิจัยจาก Morgan Stanley ระบุว่า ตลาดหุ่นยนต์ของจีนจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 23% ต่อปี และคาดว่าจะมีมูลค่าแตะ 108 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2028 เพิ่มขึ้นจากระดับปัจจุบันที่ตั้งไว้ราว 47 พันล้านดอลลาร์ ข้อมูลเดียวกันยังประเมินว่าในปี 2050 จีนจะมีหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ใช้งานมากถึง 302.3 ล้านตัว ขณะที่สหรัฐฯ น่าจะตามมาที่ราว 77.7 ล้านตัว โดยหุ่นยนต์เหล่านี้ส่วนใหญ่จะถูกนำไปใช้ในงานที่มีลักษณะซ้ำซ้อน เรียบง่าย และต้องทำตามโครงสร้างที่กำหนด เช่น งานในโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ
สิ่งที่เห็นบนสนามฟุตบอลจึงไม่ใช่แค่โชว์ท่วงท่าตลกขบขัน แต่ยังเป็นตัวแทนของความพยายามในการพัฒนาระบบ AI ฝังตัว (embodied AI) ซึ่งรัฐบาลจีนให้การสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง จนผู้เชี่ยวชาญจาก Morgan Stanley มองว่า จีนอาจมีบทบาทนำในด้าน AI-หุ่นยนต์ที่ไกลกว่าชาติใด ๆ ในโลก และหากคู่แข่งอย่างสหรัฐฯ ยังละเลยไม่ติดตามอย่างใกล้ชิด ช่องว่างในด้านนวัตกรรมอาจยิ่งทวีคูณจนยากจะตามทัน
การผลักดันกีฬาเป็นสนามทดสอบหุ่นยนต์
กีฬาเริ่มกลายเป็นสนามสนุกที่ช่วยผลักดันพัฒนาการของหุ่นยนต์อย่างรวดเร็ว ไม่ใช่แค่ฟุตบอลหุ่นยนต์เท่านั้นที่ได้ย้อนกลับมาสู่สาธารณะ ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์จำนวน 21 ตัวลงแข่งขันมาราธอนระยะทางครึ่งหนึ่งร่วมกับนักวิ่งมืออาชีพ แม้จะมีเพียงหกตัวเท่านั้นที่สามารถวิ่งจบได้ แต่ก็ช่วยทดสอบความแข็งแรงของโครงสร้างและอัลกอริธึมควบคุมการเคลื่อนไหวอย่างเต็มรูปแบบ
การแข่งขันฟุตบอลเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากจะเป็นการสาธิตเทคโนโลยีแล้ว ยังเป็นการซ้อมย่อยก่อนการแข่งขัน World Humanoid Robot Games 2025 ที่จะมีขึ้นที่กรุงปักกิ่งระหว่าง 15–17 สิงหาคม ซึ่งคาดว่าจะมีการชิงชัยในกีฬาหลากหลายประเภท เช่น ยิมนาสติก กรีฑา และฟุตบอลหุ่นยนต์อีกครั้ง การสร้างสนามแข่งขันที่มีความท้าทายหลากหลายรูปแบบนอกจากจะช่วยให้เห็นจุดอ่อนของแต่ละระบบแล้ว ยังกระตุ้นให้เกิดการผสานฮาร์ดแวร์เข้ากับซอฟต์แวร์ให้แนบแน่นและตอบสนองตามสถานการณ์ได้ดีขึ้น
การรับรองความปลอดภัยและอนาคตของหุ่นยนต์ร่วมเล่นกับมนุษย์
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ได้รับการพูดถึงอย่างจริงจังคือความปลอดภัยของการปล่อยหุ่นยนต์ลงสนามแข่งร่วมกับมนุษย์ เมื่อหุ่นยนต์มีน้ำหนักตัวหนาและพละกำลังไม่อาจเทียบกับมนุษย์ การล้มกระแทกหรือการปะทะกันอาจสร้างอันตรายได้ ดังนั้นผู้พัฒนาจึงต้องออกแบบให้หุ่นยนต์มีระบบหยุดการเคลื่อนไหวทันทีหากตรวจจับการปะทะแรงเกินขีดจำกัด รวมถึงการปรับเฟรมเวิร์กของการทำงานให้มีการจำกัดแรงกระแทกเพื่อไม่ให้ผู้เล่นมนุษย์เกิดการบาดเจ็บ
Cheng Hao ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Booster Robotics เจ้าของหุ่นยนต์ที่ลงสนามกล่าวว่า ในอนาคตอาจถึงวันหนึ่งที่หุ่นยนต์และมนุษย์ลงแข่งฟุตบอลร่วมกัน เขาจึงมองว่าการสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ชมว่า “หุ่นยนต์ปลอดภัยต่อการปะทะจริง” เป็นสิ่งจำเป็น เพราะหากแข่งกันจริงจังจะมีทั้งการโจมตีและการป้องกันที่เข้มข้น การสาธิตให้เห็นว่าหุ่นยนต์ไม่ก่ออันตรายต่อมนุษย์จะช่วยสร้างความเข้าใจและยกระดับความเชื่อมั่นในเทคโนโลยีได้อย่างมาก
บทสรุปการแข่งขันและชัยชนะของแชมป์
ในที่สุด ศึกชิงแชมป์ครั้งนี้ปิดฉากด้วยการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศระหว่างทีม THU Robotics จากมหาวิทยาลัยชิงหัว และทีม Mountain Sea จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ของจีน ซึ่งเป็นการพบกันระหว่างสถาบันสองแห่งที่ต่างส่งหุ่นยนต์ลงแข่งขันด้วยอัลกอริธึมและฮาร์ดแวร์ที่ออกแบบมาเฉพาะตัว ท่ามกลางเสียงเชียร์ดังกึกก้องสนาม THU Robotics สามารถทำประตูถึง 5 ลูก ขณะที่ Mountain Sea ตอบโต้ได้ 3 ลูก กลายเป็นแชมป์ในที่สุด ท่ามกลางภาพความสนุกสนานและเสียงปรบมืออย่างไม่ขาดสาย ซึ่งคอนทราสต์กับทีมฟุตบอลชายทีมชาติที่กำลังย่ำแย่ในอันดับโลกอยู่ที่ 94 ของฟีฟ่า เพราะอย่างน้อยหุ่นยนต์ยังรู้ว่าต้องทำอะไรเมื่อถึงสนามแข่งขัน และรู้จัก “สร้างความบันเทิง” ให้ผู้ชมได้เสมอ
ที่มาข่าว : NBC NEWS










