BESS หรือ Battery Energy Storage System คือระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานในโรงงานและภาคอุตสาหกรรม ระบบพลังงานสำรองนี้ไม่ได้แค่สำรองไฟฟ้าเมื่อไฟดับเท่านั้น แต่ยังช่วยบริหารจัดการพลังงาน ลดค่าไฟฟ้า และรองรับการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ๆ
ตลาด ‘Battery Storage โรงงานทั่วโลกเติบโตอย่างรวดเร็วถึง 54%’ ในครึ่งแรกของปี 2025 โดยมีการติดตั้งระบบรวม 86.7 GWh เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ตัวเลขนี้จะเป็นการเติบโตในระดับโลก แต่ไทยก็กำลังก้าวตามอย่างแข็งแกร่งด้วยนโยบายภาครัฐที่ส่งเสริมพลังงานสะอาดและเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2065
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เริ่มก่อสร้างโครงการ BESS ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศในจังหวัดลพบุรี ขนาดความจุ 150 MWh ในไตรมาสแรกของปี 2025 โครงการนี้ออกแบบมาเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าและรองรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะเริ่มใช้งานได้ในช่วงต้นปี 2026
แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP 2024) ‘กำหนดเป้าหมายให้พลังงานหมุนเวียนคิดเป็น 51% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดภายในปี 2037’ เพื่อรองรับเป้าหมายนี้ แผนดังกล่าวระบุความจำเป็นในการติดตั้ง BESS รวม 10,000 MW นอกจากนี้ ในปี 2022 รัฐบาลได้มอบสิทธิ์ให้กับ 24 โครงการที่มีองค์ประกอบของ BESS รวมกำลังการผลิต 994 MW
ต้นทุนที่ลดลงอย่างมหาศาล
การลดลงของต้นทุนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ BESS เข้าถึงได้มากขึ้นสำหรับภาคอุตสาหกรรม องค์การพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ (IRENA) ‘รายงานว่าต้นทุนการติดตั้งระบบ BESS ลดลง 93% ตั้งแต่ปี 2010 ถึง 2024 จากเดิม 2,571 เหรียญสหรัฐเหลือเพียง 192 เหรียญสหรัฐต่อ kWh’
ที่น่าสนใจคือระหว่างปี 2023 และ 2024 เพียงปีเดียว ต้นทุนลดลง 38% สำหรับระบบที่เก็บพลังงานได้ 2 ชั่วโมง และลดลง 32% สำหรับระบบ 4 ชั่วโมง ในปี 2025 ราคาระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่อยู่ในช่วง 200-400 เหรียญสหรัฐต่อ kWh (ประมาณ 7,000-14,000 บาท) ทำให้โรงงานสามารถคำนวณระยะเวลาคืนทุนได้ชัดเจนขึ้น
การลดต้นทุนนี้เกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่ การผลิตในวงกว้างจากความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น เทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ดีขึ้น และห่วงโซ่อุปทานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ลดค่าไฟฟ้าโรงงานด้วย Peak Shaving
ระบบ BESS ช่วยลดค่าไฟฟ้าโรงงานผ่านกลยุทธ์ Peak Shaving ซึ่งเป็นการลดความต้องการไฟฟ้าในช่วงเวลาที่อัตราค่าไฟสูงสุด โรงงานสามารถใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ในช่วง Peak Hour แทนการซื้อไฟฟ้าจากการไฟฟ้าในราคาแพง จากนั้นจึงชาร์จแบตเตอรี่กลับในช่วงที่อัตราค่าไฟฟ้าต่ำกว่า
จากกรณีศึกษาของโรงงานที่ใช้ Peak Shaving พบว่าสามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากกว่า 12% ในบิลค่าไฟฟ้ารายเดือน นอกจากนี้ระบบยังช่วยรักษาคุณภาพไฟฟ้าให้คงที่ ป้องกันความเสียหายจากไฟฟ้าตก-ไฟฟ้าเกิน ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในพื้นที่อุตสาหกรรม
ระยะเวลาคืนทุนสำหรับการติดตั้ง BESS ในโรงงานอยู่ที่ประมาณ 5-8 ปี เมื่อรวมการลดค่าไฟฟ้า การใช้เงินอุดหนุนจากภาครัฐ และโอกาสในการสร้างรายได้จากตลาดปรับความต้องการไฟฟ้า (Ancillary Service Market)
การผสานระบบโซลาร์เซลล์กับแบตเตอรี่เป็นโซลูชันที่สมบูรณ์แบบสำหรับโรงงานที่ต้องการพึ่งพาพลังงานสะอาด เซลล์แสงอาทิตย์ผลิตไฟฟ้าได้เฉพาะในเวลากลางวันเท่านั้น แต่โรงงานหลายแห่งต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมง การมีระบบกักเก็บพลังงานจึงช่วยให้ใช้ไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ได้แม้ในเวลากลางคืนหรือช่วงที่ค่าไฟฟ้าสูง
รายงานจาก Ember ระบุว่าพลังงานแสงอาทิตย์และระบบกักเก็บพลังงานสามารถช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าของไทยได้ ระบบ Battery Storage โรงงานทำงานโดยรับพลังงานส่วนเกินจากโซลาร์เซลล์มาเก็บไว้ในช่วงกลางวันที่ผลิตได้มากกว่าการใช้ แล้วปล่อยพลังงานออกมาใช้ในช่วงที่ต้องการ
กฟผ. กำลังพัฒนาระบบ Flexible Grid โดยการติดตั้งแบตเตอรี่กักเก็บพลังงานและผสานกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ (Pumped Storage Hydropower) เพื่อลดความผันผวนและรักษาเสถียรภาพของระบบ
เทคโนโลยี LFP ครองตลาดอุตสาหกรรม
แบตเตอรี่ลิเธียมเหล็กฟอสเฟต (LFP) กลายเป็นตัวเลือกหลักสำหรับ BESS ในภาคอุตสาหกรรม โดยส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจาก 48% ในปี 2021 เป็น 85% ในปี 2024 ความนิยมนี้เกิดจากข้อได้เปรียบหลายประการ ได้แก่ ต้นทุนที่ต่ำกว่า อายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า และความปลอดภัยที่สูงกว่าเคมีลิเธียมไอออนชนิดอื่น
แบตเตอรี่ LFP สามารถทำงานได้มากกว่า 3,000 รอบในสภาวะปกติ และในสภาวะที่เหมาะสมที่สุดสามารถทำงานได้มากกว่า 10,000 รอบ เทียบกับแบตเตอรี่ NMC (Nickel Manganese Cobalt) ที่รองรับเพียง 1,000-2,300 รอบ หมายความว่า LFP มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า 10 ปีในการใช้งานอุตสาหกรรม
ในไทย บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์พลังงานหลายรายเริ่มนำเสนอโซลูชัน LFP สำหรับอุตสาหกรรม เช่น Delta Electronics ที่พัฒนาตู้คอนเทนเนอร์แบตเตอรี่ LFP สำหรับระบบกักเก็บพลังงานขนาดโครงข่ายไฟฟ้าและอุตสาหกรรมขนาดกลางถึงใหญ่ นอกจากนี้ Banpu NEXT ร่วมกับ Durapower เปิดโรงงานประกอบแบตเตอรี่ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ชลบุรี ซึ่งผลิตแบตเตอรี่ทั้ง NMC และ LFP ด้วยกำลังการผลิต 15,000 แพ็คต่อปี
ไทยกำหนดเป้าหมาย Carbon Neutrality ภายในปี 2050 และ Net Zero ภายในปี 2065 เป้าหมายเหล่านี้กำลังผลักดันให้โรงงานต่างๆ เร่งลงทุนในระบบพลังงานสะอาดและระบบกักเก็บพลังงาน อุปสงค์ไฟฟ้าของไทยคาดว่าจะเติบโต 5.0-6.0% ต่อปีตั้งแต่ปี 2025 ถึง 2027 การเติบโตนี้ต้องการระบบโครงข่ายไฟฟ้าที่ยืดหยุ่นและมีเสถียรภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญชี้ให้เห็นว่าเป้าหมาย BESS ขนาด 10,000 MW ในแผน PDP 2024 อาจไม่เพียงพอต่อการรองรับพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้น โดยประเมินว่าอาจต้องการระบบกักเก็บพลังงานมากกว่านี้ถึง 3-4 เท่า เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดสำเร็จอย่างแท้จริง หากไม่มี BESS เพียงพอ ประเทศยังคงต้องพึ่งพาโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติเพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้า
การลงทุนใน Battery Storage โรงงานไม่ใช่แค่การลดต้นทุนพลังงาน แต่เป็นการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาว โรงงานที่มีเป้าหมาย Net Zero ใช้ระบบพลังงานสำรองเป็นหลักฐานแสดงความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืน ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับใบรับรอง ESG และตอบโจทย์ลูกค้าต่างประเทศที่ต้องการซัพพลายเออร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ด้วยต้นทุนที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น และนโยบายภาครัฐที่สนับสนุน BESS กำลังกลายเป็นโซลูชันหลักสำหรับโรงงานไทยที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน ลดต้นทุน และก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืน
Source : IRENA, EGAT, Ember Energy, Krungsri Research










