การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลให้ผู้ผลิตยานยนต์ในยุโรปต้องลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้ 90% ในปี 2035 ภายหลังแผนยุติการใช้เครื่องยนต์สันดาปถูกพับเก็บอย่างเป็นทางการ โดย 10% ของการปลดปล่อยจะถูกชดเชยด้วยการใช้โลหะคาร์บอนต่ำซึ่งผลิตในสหภาพยุโรปแทน หรือเป็นการใช้เชื้อเพลิงยั่งยืน ทำให้อุตสาหกรรมยังสามารถผลิต PHEV, Range Extender, ยานยนต์ไฮบริดบางส่วน (Mild Hybrid) และเครื่องยนต์สันดาปภายในได้หลังปี 2035
ข้อเสนอของคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปในการยกเลิกแผนการยุติการใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ซึ่งเดิมกำหนดไว้ในปี 2035 โดยมีกำหนดนำเสนอในสัปดาห์นี้แต่ยังต้องได้รับการรับรองจากคณะกรรมาธิการยุโรปทั้งหมดก่อน อย่างไรก็ตามยังมีการระบุเพิ่มเติมว่าการปล่อยก๊าซที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะต้องได้รับการชดเชยอย่างครบถ้วนด้วยมาตรการอื่นๆ ตัวอย่างที่อาจเป็นไปได้ เช่น การเปลี่ยนไปใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่าง ‘โลหะสีเขียว’ (Green Steel)
นอกจากนี้ ยังมีการวางแผนข้อยกเว้นสำหรับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และรถยนต์ไฟฟ้าที่มีระบบเพิ่มระยะทาง (Range Extender) ซึ่งใช้เครื่องยนต์สันดาปขนาดเล็กเพื่อช่วยเพิ่มระยะทางในการขับขี่ อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนในเบื้องต้นว่าข้อยกเว้นดังกล่าวจะครอบคลุมถึงรถยนต์เบนซินและดีเซลแบบดั้งเดิมหรือไม่ ทั้งนี้ ข้อเสนอของคณะกรรมาธิการยังต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐสภายุโรปและประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปด้วย นอกจากนี้ ประเด็นด้านกลยุทธ์แบตเตอรี่และกลุ่มยานพาหนะสำหรับบริการ (Service Fleets) ก็จะถูกนำมาพิจารณาเช่นกัน
การถกเถียงเรื่องยานยนต์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์สันดาปที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน
แม้ว่าในปัจจุบันยังไม่มีความแน่นอนว่าการประนีประนอมจะเกิดขึ้นภายใต้รูปแบบหรือเงื่อนไขใด ฝรั่งเศสและสเปนได้ออกจดหมายร่วมกันเพื่อสนับสนุนการคงแนวทางดั้งเดิมไว้เป็นส่วนใหญ่ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยสนับสนุนการนำ ‘ความยืดหยุ่นแบบมุ่งเป้า’ มาใช้ โดยเฉพาะในด้านความเป็นกลางทางเทคโนโลยี (Technology Neutrality) ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องมาพร้อมกับแรงจูงใจด้านกฎระเบียบที่ชัดเจน เพื่อสนับสนุนการผลิตที่เป็นมิตรต่ออุตสาหกรรมภายในยุโรป
มีการวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจดังกล่าวว่าเป็นเหมือนทางลาดที่มีความลื่น ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ และขัดขวางไม่ให้ผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง จีนได้ก้าวนำหน้าไปแล้ว
สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์เลือกที่จะรอดูว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นจริงนั้นจะเป็นอย่างไร โดยยังคงเรียกร้องให้มีความเปิดกว้างทางเทคโนโลยีและมาตรการที่มีความเป็นจริงเชิงปฏิบัติ แม้แต่นักวิจัยในสาขานี้เองก็ยังมีความเห็นไม่ตรงกันว่า การผ่อนคลายมาตรการดังกล่าวจะเป็นผลดีหรือผลเสียต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ บางคนคัดค้านอย่างสิ้นเชิง บางคนมองว่าจะช่วยได้เพียงระยะสั้น ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งมองว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก และเรียกร้องให้มีการขยายเศรษฐกิจไฮโดรเจนควบคู่ไปกับเทคโนโลยีแบตเตอรี่
อย่างน้อยที่สุด ก็ยังมีความเปิดกว้างทางความคิดเห็น ส่วนว่าสิ่งนั้นจะช่วยได้จริงหรือไม่ คงต้องรอดูกันต่อไป
ที่มา:
maschinenmarkt.vogel.de









