IDA Project
IDA Project
ภาพเปรียบเทียบบุคคลที่ถูกเลือกตามหลัก MEI

ทำไมเหล่า HR ถึงปรับหลักการจ้างงานจาก DEI สู่ MEI

Date Post
26.08.2025
Post Views

เมื่อโลกแห่งการทำงานในช่วงปี ค.ศ 2020 ถูกเขย่าด้วยการประท้วงครั้งใหญ่เพื่อความเป็นธรรมทางเชื้อชาติ องค์กรทั่วโลกต่างพากันประกาศความมุ่งมั่นในการสร้างความหลากหลาย ความเท่าเทียม และความครอบคลุมหรือที่เรียกกันว่า DEI ในสถานที่ทำงาน 

แต่เพียงไม่กี่ปีผ่านไป เราได้เห็นการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญเกิดขึ้น จากแนวคิด DEI ที่เคยได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวาง กลับมาถูกตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์ ส่งผลให้เกิดแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า MEI ซึ่งหมายถึง Merit Equity และ Inclusion หรือความเป็นเมริต* ความเท่าเทียม และความครอบคลุม


เมริต (Merit) หมายถึง คุณสมบัติหรือความสามารถอันแท้จริงของบุคคลที่ประจักษ์ชัดในด้านความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ หรือศักยภาพที่สอดคล้องกับภารกิจ หน้าที่ หรืองานที่ได้รับมอบหมาย 


การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเปลี่ยนตัวอักษรเท่านั้น แต่สะท้อนถึงการปรับปรุงปรัชญาการทำงานและการใช้ชีวิตที่สำคัญในยุคปัจจุบัน เพื่อให้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างลึกซึ้ง เราต้องย้อนกลับไปดูรากฐานและวิวัฒนาการของแนวคิด DEI ก่อนที่จะเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังการเกิดขึ้นของ MEI และวิธีที่เราสามารถนำปรัชญานี้มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาตนเองและการตัดสินใจในชีวิตประจำวัน

จุดกำเนิดและวิวัฒนาการของ DEI

แนวคิด Diversity Equity และ Inclusion มีรากฐานมาจากขบวนการต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมืองในสหรัฐอเมริกา และกฎหมาย Affirmative Action ที่เริ่มต้นในทศวรรษ 1960 ในระยะแรก 

แนวคิดนี้เกิดขึ้นเพื่อแก้ไขความไม่เป็นธรรมทางประวัติศาสตร์ที่กลุ่มชนกลุ่มน้อยและผู้หญิงเคยประสบมา โดยเฉพาะในด้านการศึกษาและการจ้างงาน

ในช่วงแรกของการพัฒนา DEI นั้น องค์กรต่างๆ มุ่งเน้นไปที่การสร้างความหลากหลายในหน่วยงานเป็นหลัก การวัดผลส่วนใหญ่จะดูจากตัวเลขการมีตัวแทนของกลุ่มชนกลุ่มน้อยในองค์กร แต่มักจะให้ความสำคัญน้อยลงกับการสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งที่แท้จริงและความเท่าเทียมในโอกาส 

หลายองค์กรพบว่าแม้จะสามารถเพิ่มความหลากหลายในเชิงตัวเลขได้ แต่ก็ยังประสบปัญหาในการรักษาบุคลากรกลุ่มน้อยไว้ในองค์กรและการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงานร่วมกัน

ความท้าทายที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการที่แนวคิด DEI ในหลายองค์กรกลายเป็นเพียง “การทำเพื่อให้ดูดี” มากกว่าการมุ่งมั่นอย่างจริงจัง การวิจัยพบว่าหลายสถาบันการศึกษาและองค์กรมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ความไม่ซื่อสัตย์ด้านความหลากหลาย’ ซึ่งหมายถึงการแสดงความมุ่งมั่นในรูปแบบแต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในเนื้อหา 

การปฏิบัติเช่นการใช้ Token หรือการนำบุคคลที่มีความหลากหลายมาแสดงในสื่อองค์กรแต่ไม่ให้ค่านิยมที่แท้จริงกลายเป็นปัญหาใหญ่

นอกจากนี้ การวิจัยยังชี้ให้เห็นว่าโปรแกรม DEI หลายโปรแกรมขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แข็งแกร่งในการพิสูจน์ประสิทธิภาพ แม้ว่าจะมีการใช้ทรัพยากรจำนวนมากในโครงการเหล่านี้ แต่หลายองค์กรก็ยังไม่สามารถวัดผลกระทบที่แท้จริงได้อย่างเป็นระบบ 

ปัญหาเหล่านี้ทำให้เกิดการตั้งคำถามและการทบทวนแนวทางใหม่ในการสร้างความเป็นธรรมในสถานที่ทำงานในเวลาต่อมา

แรงผลักดันสู่ความเปลี่ยนแปลง

การเปลี่ยนผ่านจาก DEI สู่ MEI เกิดขึ้นจากแรงกดดันหลายด้าน โดยเฉพาะการตัดสินของศาลฎีกาสหรัฐในคดี Students for Fair Admissions v. Harvard & UNC ในปี ค.ศ. 2023 ที่ประกาศว่าการให้ความสำคัญเรื่องเชื้อชาติในการรับเข้าศึกษาเป็นสิ่งที่ผิดรัฐธรรมนูญ การตัดสินนี้ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางไปสู่นโยบายการจ้างงานและการศึกษาทั่วประเทศ

ต่อมาในปี ค.ศ. 2025 ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ยกเลิกคำสั่งบริหารหมายเลข 11246 ซึ่งเป็นกฎหมายที่บังคับให้สถาบันที่ได้รับทุนจากรัฐบาลกลางมีมาตรการ Affirmative Action การเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายเหล่านี้ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงการยุติยุคของการใช้เชื้อชาติเป็นปัจจัยในการตัดสินใจด้านการศึกษาและการจ้างงาน และเปิดทางสู่แนวทางที่เน้นความเป็นเมริตมากขึ้น

ในขณะเดียวกัน นักวิจัยและนักปฏิบัติงานด้านทรัพยากรบุคคลก็เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับประสิทธิภาพของโปรแกรม DEI แบบดั้งเดิม การศึกษาพบว่าการมุ่งเน้นความหลากหลายเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพ 

ผู้คิดค้นแนวคิด MEI โต้แย้งว่าการละเลยความสำคัญของความสามารถและคุณสมบัติที่เหมาะสมอาจส่งผลเสียต่อทั้งองค์กรและแม้กระทั่งกลุ่มคนที่โปรแกรมเหล่านี้ตั้งใจจะช่วยเหลือ

การวิจัยใหม่ๆ เริ่มชี้ให้เห็นว่าความสำเร็จในการสร้างความเท่าเทียมในสถานที่ทำงานต้องอาศัยการสร้างสมดุลระหว่างการพิจารณาความหลากหลายกับการประเมินคุณสมบัติที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงาน แนวทางนี้ไม่ได้หมายถึงการละเลยความสำคัญของความเท่าเทียม แต่เป็นการหาจุดสมดุลที่ทำให้ทั้งองค์กรและพนักงานทุกคนได้รับประโยชน์สูงสุด

เข้าใจแนวคิด MEI

Merit Equity และ Inclusion หรือ MEI เป็นการปรับปรุงแนวคิด DEI โดยการนำความเป็นเมริตมาเป็นองค์ประกอบหลักในการพิจารณา แนวคิดนี้ยังคงให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมและความครอบคลุม แต่เพิ่มมิติของการประเมินความสามารถและความเหมาะสมเข้าไปด้วย

ในกรอบแนวคิด MEI ความเป็นเมริตไม่ได้หมายถึงการใช้มาตรฐานเดียวกันสำหรับทุกคนโดยไม่คำนึงถึงบริบท แต่เป็นการพิจารณาความสามารถและศักยภาพของแต่ละบุคคลในการสร้างประโยชน์ต่อองค์กรและสังคม 

ความเท่าเทียมใน MEI ยังคงมุ่งเน้นการสร้างโอกาสที่เป็นธรรมสำหรับทุกคน แต่เน้นที่การขจัดอุปสรรคทางโครงสร้างที่ขัดขวางการแสดงความสามารถที่แท้จริง นี่อาจรวมถึงการปรับปรุงระบบการศึกษา การฝึกอบรม และการสนับสนุนที่ช่วยให้ทุกคนสามารถพัฒนาและแสดงศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่

ส่วนความครอบคลุมใน MEI หมายถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่ทุกคนรู้สึกมีค่าและสามารถมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย โดยไม่คำนึงถึงพื้นฐานหรือลักษณะส่วนบุคคล แต่ความครอบคลุมนี้จะต้องมาพร้อมกับการคาดหวังที่ชัดเจนในเรื่องของการมีส่วนร่วมและการสร้างผลงานที่มีคุณภาพ

การประยุกต์ใช้ MEI ในสถานที่ทำงาน

การนำแนวคิด MEI มาใช้ในสถานที่ทำงานต้องการการปรับเปลี่ยนที่ละเอียดอ่อนและมีความสมดุล องค์กรที่ประสบความสำเร็จในการนำ MEI มาใช้มักจะเริ่มต้นด้วยการทำ DEI Audit เพื่อเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันและช่องว่างที่มีอยู่ กระบวนการนี้จะช่วยให้องค์กรเห็นว่าปัญหาอยู่ตรงไหนและจำเป็นต้องปรับปรุงในด้านใด

ในด้านการสรรหาบุคลากร การประยุกต์ใช้ MEI หมายถึงการออกแบบกระบวนการคัดเลือกที่เปิดโอกาสให้ผู้สมัครจากหลากหลายภูมิหลังแต่ยังคงมาตรฐานที่ชัดเจนในเรื่องของความสามารถที่จำเป็น นี่อาจรวมถึงการใช้การทดสอบทักษะจริงแทนการพึ่งพาเฉพาะวุฒิการศึกษา การสร้างการฝึกงานและโปรแกรมพี่เลี้ยงเพื่อช่วยพัฒนาบุคคลที่มีศักยภาพ และการปรับปรุงวิธีการประเมินผลที่สามารถวัดความสามารถที่แท้จริงได้

สำหรับการพัฒนาและรักษาบุคลากร MEI เน้นการสร้างระบบที่ให้โอกาสการเติบโตอย่างเป็นธรรมตามผลงานและความสามารถ นี่หมายถึงการมีระบบการประเมินผลที่โปร่งใส การให้การฝึกอบรมและการพัฒนาที่เท่าเทียมกัน และการสร้างเส้นทางความก้าวหน้าที่ชัดเจนสำหรับทุกคน การใช้เทคโนโลジีเช่น Low-code platforms สามารถช่วยเปิดโอกาสให้พนักงานที่ไม่มีพื้นฐานทางเทคนิคสามารถมีส่วนร่วมในโครงการพัฒนาเทคโนโลยีได้

MEI กับการพัฒนาตนเองในระดับบุคคล

แนวคิด MEI ไม่ได้มีประโยชน์เฉพาะในระดับองค์กรเท่านั้น แต่สามารถนำมาประยุกต์ใช้เป็นกรอบการคิดในการพัฒนาตนเองและการตัดสินใจในชีวิตส่วนบุคคลด้วย ในระดับบุคคล MEI สามารถเป็นแนวทางในการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาความสามารถของตนเอง การเข้าใจและเคารพความแตกต่างของผู้อื่น และการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมายในสังคม

ในด้านความเป็นเมริตส่วนบุคคล หมายถึงการมุ่งมั่นพัฒนาความสามารถและความเชี่ยวชาญในสิ่งที่เราทำ นี่ไม่ได้หมายถึงการแข่งขันเพื่อเอาชนะผู้อื่น แต่เป็นการมุ่งมั่นที่จะเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของตนเอง การพัฒนาความเป็นเมริตส่วนบุคคลต้องการการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การฝึกฝนที่มีจุดมุ่งหมาย และการยอมรับข้อผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้

ความเท่าเทียมในระดับบุคคลหมายถึงการตระหนักถึงโอกาสและทรัพยากรที่เราได้รับ และการใช้สิ่งเหล่านี้ในการช่วยเหลือผู้อื่นให้มีโอกาสเท่าเทียมกัน นี่อาจรวมถึงการแบ่งปันความรู้ การเป็นพี่เลี้ยงให้ผู้ที่มีพื้นฐานน้อยกว่า หรือการใช้อิทธิพลและตำแหน่งที่เรามีในการสร้างโอกาสให้ผู้อื่น การพัฒนาความเท่าเทียมส่วนบุคคลต้องการการฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจ การเรียนรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้อื่น และการยอมรับว่าความสำเร็จของเราไม่ได้เกิดจากความพยายามของเราเพียงอย่างเดียว

ความครอบคลุมในระดับบุคคลหมายถึงการสร้างสภาพแวดล้อมรอบตัวเราที่ทุกคนรู้สึกมีคุณค่าและสามารถแสดงตัวตนที่แท้จริงได้ นี่รวมถึงการฟังอย่างลึกซึ้ง การเปิดใจรับฟังมุมมองที่แตกต่าง และการแสดงความเคารพต่อประสบการณ์และมุมมองของผู้อื่น การพัฒนาความครอบคลุมส่วนบุคคลต้องการการทำงานกับความรู้สึกและอคติของเราเอง การเรียนรู้ที่จะสื่อสารข้ามความแตกต่างทางวัฒนธรรม และการสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการแสดงออกและการเรียนรู้ร่วมกัน

การนำ MEI มาใช้เป็นกรอบการตัดสินใจ

หนึ่งในประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของแนวคิด MEI คือการใช้เป็นกรอบในการตัดสินใจทั้งในชีวิตส่วนตัวและการทำงาน เมื่อเผชิญกับการตัดสินใจที่สำคัญ เราสามารถถามตนเองว่าตัวเลือกแต่ละอย่างส่งผลต่อความเป็นเมริต ความเท่าเทียม และความครอบคลุมอย่างไร

ในการตัดสินใจเกี่ยวกับอาชีพ เราสามารถพิจารณาว่างานนั้นช่วยให้เราพัฒนาความสามารถและสร้างประโยชน์ที่แท้จริงได้หรือไม่ มีโอกาสในการเรียนรู้และเติบโตหรือไม่ และสภาพแวดล้อมการทำงานเอื้อต่อการแสดงตัวตนที่แท้จริงและการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมายหรือไม่ การตัดสินใจแบบนี้จะช่วยให้เราเลือกเส้นทางที่ไม่เพียงแต่นำไปสู่ความสำเร็จส่วนบุคคล แต่ยังสร้างประโยชน์ต่อสังคมในวงกว้าง

ในความสัมพันธ์ส่วนบุคคล MEI สามารถช่วยเราสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายและยั่งยืน เราสามารถมุ่งมั่นที่จะเป็นเพื่อน คู่ครอง หรือสมาชิกครอบครัวที่ดี โดยการพัฒนาความสามารถในการดูแลและสนับสนุนผู้อื่น การเคารพและเฉลิมฉลองความแตกต่าง และการสร้างพื้นที่ที่ทุกคนรู้สึกปลอดภัยและมีคุณค่า

ในการมีส่วนร่วมทางสังคมและการเป็นพลเมือง MEI สามารถเป็นแนวทางในการตัดสินใจว่าเราจะมีส่วนร่วมกับประเด็นสาธารณะอย่างไร เราสามารถมุ่งมั่นที่จะศึกษาหาความรู้และข้อมูลที่ถูกต้อง ใช้เสียงและอิทธิพลของเราในการสนับสนุนนโยบายและการเปลี่ยนแปลงที่สร้างความเป็นธรรม และการเปิดใจฟังและเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้ที่มีพื้นฐานแตกต่างจากเรา

อนาคตของ MEI และบทเรียนสำหรับเรา

การเปลี่ยนผ่านจาก DEI สู่ MEI แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการปรับปรุงและพัฒนาแนวคิดอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เริ่มต้นด้วยเจตนาดีในการสร้างความเป็นธรรมอาจต้องการการปรับปรุงเมื่อเราเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบที่แท้จริงและความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของสังคม การที่องค์กรและบุคคลยินดีที่จะทบทวนและปรับปรุงแนวทางของตนเองแสดงถึงความมุ่งมั่นที่แท้จริงในการสร้างโลกที่ดีกว่า

สำหรับเราแต่ละคน MEI เป็นเครื่องเตือนใจว่าการพัฒนาตนเองที่ยั่งยืนต้องการความสมดุลระหว่างการมุ่งมั่นในความเป็นเลิศ การใส่ใจต่อความเป็นธรรม และการเปิดรับความหลากหลาย การใช้ชีวิตตามปรัชญา MEI หมายถึงการมุ่งมั่นที่จะเป็นคนที่มีความสามารถและสร้างประโยชน์ต่อสังคม ในขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะช่วยเหลือผู้อื่นให้มีโอกาสเท่าเทียมกันและสร้างสภาพแวดล้อมที่ทุกคนสามารถเจริญเติบโตได้

ในท้ายที่สุด การเปลี่ยนผ่านจาก DEI สู่ MEI ไม่ได้เป็นการละทิ้งอุดมคติของความเป็นธรรมและความเท่าเทียม แต่เป็นการปรับปรุงวิธีการที่เราใช้ในการบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น เมื่อเราเข้าใจและนำแนวคิดนี้มาประยุกต์ใช้ในชีวิต เราจะสามารถสร้างทั้งความสำเร็จส่วนบุคคลและการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในสังคมได้อย่างแท้จริง ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและซับซ้อนมากขึ้น MEI อาจเป็นเข็มทิศที่ช่วยให้เราเดินทางไปสู่อนาคตที่เป็นธรรมและเจริญรุ่งเรืองสำหรับทุกคนได้อย่างมั่นใจ

Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Pisit Poocharoen
Former field engineer seeking to break free from traditional learning frameworks. อดีตวิศวกรภาคสนามที่ต้องการหลุดออกจากกรอบการเรียนรู้แบบเดิม ๆ
Super Source-E-market place สำหรับสินค้าอุตสาหกรรม