เมื่อใดที่เราเริ่มคิดว่าความเร็วในการผลิตไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง? เมื่อใดที่ภาพของรถยนต์ที่วิ่งออกจากสายการผลิตเป็นคิวยาวเหยียด เปลี่ยนเป็นความคิดที่ว่า “ทำไมต้องผลิตมากถ้าขายไม่ได้ ล่ะ?” คำถามเหล่านี้คือจุดเริ่มต้นของปฏิวัติอันยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า Just-In-Time หรือ JIT – ปรัชญาการผลิตที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเพียงแค่วิธีการทำงานในโรงงาน แต่ยังเป็นแนวคิดที่กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าการบริหารจัดการ
ก่อนหน้าวิกฤติ-เมื่อโลกเข้าใจผิดเรื่องประสิทธิภาพ
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 องค์กรทั่วโลกเชื่อในสูตรสำเร็จแบบเดิมที่ว่า “ผลิตมากก็ย่อมได้กำไรมาก” แต่ภาพจริงที่เกิดขึ้นคือคลังสินค้าที่เต็มไปด้วยผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคนซื้อ ต้นทุนการเก็บรักษาที่เพิ่มขึ้น และกระแสเงินสดที่ไม่หมุนเวียน ในช่วงเวลานั้น โลกกำลังเผชิญกับภาพจำที่ว่า การผลิตมากคือเก่ง ซึ่งกลายเป็นคำสาปของอุตสาหกรรมการผลิตในเวลานั้น
แล้วจู่ ๆ ปรากฏการณ์พิศวงเกิดขึ้นในดินแดนที่เพิ่งฟื้นจากสงครามโลก ประเทศญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ พื้นที่ และวัตถุดิบ นำไปสู่การเกิดขึ้นของ กลยุทธ์ที่ไม่ใช่การผลิตมาก แต่เป็นการผลิตที่ฉลาด ณ จุดนี้เองที่ Taiichi Ohno ในนาม Toyota ได้ค้นพบสูตรลับที่จะเปลี่ยนแปลงโลกการผลิตไปตลอดกาล
JIT ก้าวแรกของการปฏิวัติความคิด
Just-In-Time หรือ JIT ไม่ใช่เพียงแค่เทคนิคการผลิต แต่เป็น ปรัชญาที่ท้าทายทุกสิ่งที่เคยเข้าใจเรื่องประสิทธิภาพ หลักการสำคัญของ JIT คือ ผลิตเฉพาะสิ่งที่ต้องการ เมื่อเวลาที่ต้องการ และในปริมาณที่ต้องการ ฟังดูเหมือนเรื่องง่าย แต่ในทางปฏิบัติมันเป็นการเปลี่ยนแปลงรากฐานการคิดที่ลึกซึ้งเกินกว่าที่หลายคนจะคาดคิด
การพัฒนา JIT เริ่มต้นจากการสังเกตเรื่องง่าย ๆ ของ Taiichi Ohno ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตในอเมริกา เขาสังเกตว่า ชั้นวางสินค้าจะถูกเติมเฉพาะเมื่อสินค้าหมด ไม่ใช่เติมเพื่อให้เต็มตลอดเวลา ความคิดนี้เองที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของระบบ Pull Production ที่ทำให้ Toyota กลายเป็นผู้นำด้านประสิทธิภาพและคุณภาพในอุตสาหกรรมยานยนต์จนถึงปัจจุบัน
สิ่งที่ทำให้ JIT แตกต่างจากระบบการผลิตแบบเดิม คือ การมองความสูญเปล่าเป็นศัตรูตัวแรก Ohno ได้จำแนกความสูญเปล่าออกเป็น 7 ประเภทหลัก ได้แก่ การผลิตเกิน การรอคอยการขนส่ง และการประมวลผลเกินจำเป็นของสินค้าคงคลัง การเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็น และของเสียที่เกิด แต่ที่สำคัญที่สุดคือ การผลิตเกิน ซึ่งถูกมองว่าเป็นรากเหง้าของปัญหาอื่น ๆ ทั้งหมด
ระบบ Pull กับการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้ง
ระบบ Pull หรือการผลิตแบบดึงไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนแปลงเทคนิคการผลิต แต่เป็น การเปลี่ยนแปลงทัศนคติต่อการสร้างคุณค่า ในระบบดั้งเดิม เราผลิตตามแผนที่คาดเดา แต่ใน JIT เราผลิตเมื่อมี สัญญาณจริง จากลูกค้าหรือกระบวนการถัดไป การเปลี่ยนแปลงนี้ต้องอาศัยการพัฒนาระบบสารสนเทศที่แม่นยำ การสื่อสารที่ราบรื่น และความไว้วางใจระหว่างทุกฝ่ายในสายการผลิต
สิ่งที่น่าสนใจคือ JIT ไม่ใช่เพียงแค่การลดสินค้าคงคลัง แต่เป็น การสร้างความยืดหยุ่นในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง Toyota สามารถปรับเปลี่ยนรุ่นและปริมาณการผลิตได้อย่างรวดเร็วตามความต้องการจริงของตลาด ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญในยุคที่ความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ความท้าทายของ JIT ในโลกแห่งความไม่แน่นอน
แม้ว่า JIT จะได้รับการยกย่องว่าเป็นปฏิวัติการผลิต แต่ระบบนี้ก็มีจุดอ่อนที่สำคัญ เมื่อโลกเผชิญกับวิกฤติที่ไม่คาดคิด เช่น การระบาดของ COVID-19 ระบบ JIT ที่อาศัยห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมต่อแน่นแฟ้นกลับกลายเป็นจุดอ่อน บริษัทต่าง ๆ ประสบปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ ไม่สามารถปรับตัวได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของความต้องการที่กะทันหัน
น่าสนใจที่ Toyota เอง ผู้บุกเบิก JIT ก็ได้เรียนรู้จากวิกฤติและปรับปรุงระบบ หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในญี่ปุ่นปี 2011 และน้ำท่วมในไทย Toyota ได้พัฒนาแนวคิด JIT แบบยืดหยุ่น โดยการเก็บสต็อกชิ้นส่วนสำคัญไว้ 2-6 เดือน ตามระดับความเสี่ยง การปรับเปลี่ยนนี้แสดงให้เห็นว่าแม้แต่ผู้สร้างระบบก็ยังคงเรียนรู้และพัฒนาปรัชญาของตนเองอย่างต่อเนื่อง
JIT ในบริบทของอุตสาหกรรมไทย
สำหรับอุตสาหกรรมไทย JIT ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญโดยเฉพาะในภาคการผลิตและขนส่ง จากการศึกษาพบว่า องค์กรไทยที่นำ JIT มาใช้ประสบความสำเร็จในการลดต้นทุนสินค้าคงคลัง เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์ แต่ยังมีความท้าทายสำคัญในการปรับใช้ เช่น การขาดความรู้ความเข้าใจ การขาดการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูง และสภาพการจราจรที่ซับซ้อน
การใช้ JIT ในบริบทไทยจำเป็นต้องปรับให้เหมาะสมกับลักษณะเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรม เช่น ในอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า พบว่า 77% ของผู้ประกอบการยังไม่คุ้นเคยกับปรัชญาและการปฏิบัติตาม JIT ขณะที่ 55% ไม่มีโปรแกรมลดเวลาการตั้งค่าเครื่องจักร ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการทำ JIT ให้สำเร็จ
สิ่งที่ทำให้ JIT มีความหมายเกินกว่าเทคนิคการผลิต คือ ปรัชญาที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการทุกระดับ หลักการของ JIT เช่น การมุ่งเน้นคุณค่าที่แท้จริง การกำจัดความสูญเปล่า และการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เป็นแนวคิดที่เข้ากับการทำงานในยุคดิจิทัล
สำหรับผู้บริหารโรงงานและวิศวกรการผลิต JIT ไม่ใช่เพียงแค่การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต แต่เป็น กรอบความคิดในการสร้างองค์กรที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง ในยุคที่ตลาดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความสามารถในการปรับตัวและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญกว่าการผลิตมาก
การนำ JIT มาใช้ในองค์กรไทยไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความอยู่รอดและการแข่งขันในระยะยาว ความสำเร็จของ JIT ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมองค์กรและการเปลี่ยนแปลงความคิด ผู้นำต้องเข้าใจว่า JIT เป็นการลงทุนระยะยาวที่ต้องอาศัยความอดทนและความมุ่งมั่นในการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
สำหรับอุตสาหกรรมไทย การเริ่มต้นด้วยการศึกษาและทำความเข้าใจหลักการ JIT จึงเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ ตามด้วยการทดลองใช้ในกระบวนการเล็ก ๆ ก่อนที่จะขยายไปทั้งองค์กร การมีแผนรองรับความเสี่ยง เช่น การเก็บสต็อกสำรองในชิ้นส่วนสำคัญ ก็เป็นบทเรียนสำคัญที่ได้เรียนรู้จากวิกฤติที่ผ่านมา
วิศวกรและผู้บริหารโรงงานไทยจำเป็นต้องเข้าใจว่า JIT ไม่ใช่เพียงแค่การลดสินค้าคงคลัง แต่เป็น การสร้างระบบที่ตอบสนองต่อความต้องการได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการพัฒนาทักษะของบุคลากร การปรับปรุงกระบวนการ และการสร้างความร่วมมือกับคู่ค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อให้องค์กรไทยสามารถแข่งขันและเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว









