Kosmo
kanban workflow management

เคล็ดลับของ Toyota ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพสายการผลิตของคุณ

Date Post
10.01.2025
Post Views

ในช่วง ทศวรรษที่ 1940-1950 Toyota กำลังเผชิญกับความท้าทายในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องการลดต้นทุนและหลีกเลี่ยงการสร้างสินค้าคงคลังเกินความจำเป็น คุณ Taiichi Ohno ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการพัฒนาระบบการผลิตของ Toyota ได้มองหาแนวทางใหม่ ๆ ในการจัดการงานและกระบวนการผลิต เขาได้รับแรงบันดาลใจจากระบบซุปเปอร์มาร์เก็ตในสหรัฐอเมริกา สินค้าแต่ละชิ้นจะถูกเติมเต็มเมื่อมีการนำออกจากชั้นวาง เป็นระบบที่เรียกว่า Just-in-Time (JIT) หรือการเติมสินค้าพอดีกับความต้องการ Taiichi Ohno ได้นำแนวคิดนี้มาประยุกต์ใช้ในสายการผลิตของ Toyota โดยใช้ บัตร Kanban เป็นเครื่องมือในการบอกข้อมูลระหว่างขั้นตอนการผลิต

คำว่า “Kanban” ในภาษาญี่ปุ่น แปลว่า “ป้าย” หรือ “บัตร” ซึ่งใช้ในการสื่อสารข้อมูลระหว่างขั้นตอนในกระบวนการผลิต ตัวอย่างเช่น บัตร Kanban จะระบุวัตถุดิบที่ต้องใช้ในขั้นตอนต่อไป และเมื่อสินค้าถูกผลิตเสร็จแล้ว จะมีการส่งบัตร Kanban กลับไปยังขั้นตอนก่อนหน้าเพื่อแจ้งว่าต้องผลิตเพิ่ม
ในช่วงหลัง แนวคิด Kanban ได้ถูกพัฒนาต่อและนำไปใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารโครงการและการพัฒนาซอฟต์แวร์ เช่น Kanban Board ที่ช่วยทีมในการติดตามงานและจัดการกระบวนการทำงานในรูปแบบที่มองเห็นได้ชัดเจน ทำให้ Kanban กลายเป็นแนวทางที่ได้รับความนิยมในงานที่ต้องการความคล่องตัว (Agile) และการปรับปรุงกระบวนการทำงานอย่างต่อเนื่อง

หลักการพื้นฐานของ Kanban คืออะไร ?

Kanban มีหลักการสำคัญที่ช่วยทำให้การทำงานของทีมเป็นระบบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถอธิบายได้เป็นข้อ ๆ ดังนี้

  1. การมองเห็นกระบวนการ (Visualize the Workflow)
    การสร้างภาพรวมของขั้นตอนการทำงานเป็นสิ่งสำคัญ เพราะช่วยให้ทีมงานสามารถมองเห็นได้ว่างานแต่ละชิ้นอยู่ในสถานะใดบ้าง Kanban Board ถูกออกแบบมาเพื่อแสดงสถานะต่าง ๆ เช่น “To Do”, “In Progress”, และ “Done” ผ่านคอลัมน์ที่ชัดเจน และสามารถเพิ่มสีหรือตัวบ่งชี้เพื่อแยกประเภทงานได้ง่ายขึ้น
  2. การจำกัดงานในกระบวนการ (Limit Work in Progress – WIP)
    หลักการนี้เน้นให้ทีมงานทำงานในปริมาณที่เหมาะสมในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการ เพื่อหลีกเลี่ยงการทำงานมากเกินไปหรือมีงานค้างที่ไม่ได้คุณภาพ โดยการจำกัด WIP จะช่วยลดความเครียดในทีม และเพิ่มโอกาสให้งานที่กำลังดำเนินการอยู่เสร็จสมบูรณ์เร็วขึ้น
  3. การจัดการการไหลของงาน (Manage Flow)
    กระบวนการทำงานที่ดีควรมีการไหลของงานอย่างราบรื่น โดยทีมควรตรวจสอบว่าแต่ละขั้นตอนของงานมีการเคลื่อนย้ายอย่างต่อเนื่องหรือไม่ การใช้ข้อมูล เช่น ระยะเวลาที่ใช้ในแต่ละขั้นตอนหรือจำนวนงานที่รอต่อแถว ช่วยให้ทีมสามารถปรับปรุงกระบวนการได้ง่ายขึ้น
  4. การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement)
    การปรับปรุงไม่ควรหยุดนิ่ง การใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์ เช่น การประชุมรีวิวกระบวนการทำงานหรือการเก็บฟีดแบ็กจากสมาชิกทีม จะช่วยให้ทีมสามารถแก้ไขปัญหาและปรับตัวเพื่อพัฒนางานในอนาคตได้อย่างยั่งยืน

วิธีการทำงานของ Kanban

Kanban ใช้แนวคิดการแบ่งงานออกเป็นขั้นตอนหรือสถานะต่าง ๆ ซึ่งทำให้ทีมสามารถจัดการและติดตามงานได้อย่างง่ายดาย กระบวนการทำงานนี้มักถูกนำเสนอผ่าน “Kanban Board” โดยในแต่ละสถานะจะมีการแสดงงานด้วยบัตร (Card) ที่เคลื่อนย้ายไปตามลำดับขั้นตอนจนเสร็จสมบูรณ์ ตัวอย่างวิธีการทำงานแบบละเอียด ดังนี้

  1. สร้างกระดาน Kanban
    เริ่มต้นด้วยการตั้งค่ากระดาน Kanban โดยแบ่งคอลัมน์ให้แสดงสถานะต่าง ๆ ของงาน เช่น “To Do” (งานที่ต้องทำ), “In Progress” (งานที่กำลังทำ), และ “Done” (งานที่เสร็จสมบูรณ์) ทั้งนี้ สามารถเพิ่มคอลัมน์ย่อยเพิ่มเติมได้ตามความต้องการ เช่น “Review” หรือ “Testing” เพื่อเพิ่มความละเอียดของกระบวนการ
  2. เพิ่มงานลงในบัตร
    งานแต่ละชิ้นจะถูกสร้างเป็นบัตร (Card) พร้อมระบุรายละเอียดที่ชัดเจน เช่น ชื่องาน ผู้รับผิดชอบ และวันกำหนดส่ง (Due Date) นอกจากนี้ คุณสามารถเพิ่มป้ายกำกับ (Labels) หรือสี เพื่อแยกประเภทงาน เช่น งานสำคัญ งานเร่งด่วน หรืองานตามลำดับความสำคัญ
  3. เคลื่อนย้ายบัตร
    เมื่อเริ่มทำงาน บัตรจะถูกย้ายจากคอลัมน์ “To Do” ไปยัง “In Progress” และเมื่อเสร็จสมบูรณ์ บัตรจะถูกย้ายไปยัง “Done” การเคลื่อนย้ายบัตรนี้ช่วยให้ทีมเห็นความคืบหน้าของงานได้ชัดเจน อีกทั้งยังสามารถวิเคราะห์ปัญหาในจุดที่มีงานค้าง (Bottleneck) ได้ง่ายขึ้น
  4. ปรับปรุงกระบวนการ
    หลังจากใช้งาน Kanban Board ไปสักระยะ ทีมควรประชุมเพื่อทบทวนกระบวนการทำงาน โดยอาจเพิ่มหรือปรับเปลี่ยนขั้นตอนในกระดาน เช่น เพิ่มสถานะ “On Hold” สำหรับงานที่ติดขัด เพื่อช่วยให้การทำงานในอนาคตมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

คุณสมบัติของ Kanban Board ควรประกอบด้วยอะไรบ้าง

Kanban Board มีองค์ประกอบหลักที่ช่วยให้การจัดการงานมีความชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งประกอบด้วย

  • คอลัมน์ (Columns)
    คอลัมน์แต่ละช่องใน Kanban Board ถูกออกแบบมาเพื่อแสดงสถานะของงานในกระบวนการ เช่น “To Do”, “In Progress”, และ “Done” นอกจากนี้ยังสามารถปรับแต่งคอลัมน์เพิ่มเติม เช่น “Review” หรือ “Approval” เพื่อให้เหมาะสมกับกระบวนการทำงานของแต่ละทีม
  • บัตรงาน (Cards)
    บัตรงานเป็นตัวแทนของงานหรือโปรเจกต์แต่ละชิ้น บนบัตรสามารถเพิ่มรายละเอียดได้ เช่น ชื่องาน รายละเอียดงาน ผู้รับผิดชอบ วันที่ครบกำหนด และความสำคัญ เพื่อให้ทุกคนในทีมเข้าใจเนื้อหางานได้อย่างง่ายดาย บัตรงานยังสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความจำเป็น เช่น การเพิ่ม Checklist หรือการแนบไฟล์เอกสารที่เกี่ยวข้อง
  • การจำกัด WIP (Work in Progress)
    การกำหนดจำนวนงานที่สามารถทำในแต่ละขั้นตอนได้เป็นสิ่งสำคัญใน Kanban Board เพื่อหลีกเลี่ยงการทำงานมากเกินไปและป้องกันการเกิด Bottleneck ที่อาจทำให้กระบวนการล่าช้า การจำกัด WIP ยังช่วยให้ทีมสามารถมุ่งเน้นกับงานปัจจุบันและส่งมอบงานได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น
  • สัญลักษณ์หรือสี (Labels or Colors)
    สัญลักษณ์หรือสีถูกใช้เพื่อช่วยแยกประเภทงาน เช่น งานเร่งด่วน งานที่เกี่ยวกับทีมอื่น หรือขั้นตอนที่ต้องการตรวจสอบเพิ่มเติม การใช้สีและสัญลักษณ์ช่วยให้ทีมสามารถมองเห็นและจัดลำดับความสำคัญได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังช่วยลดความสับสนและทำให้การสื่อสารในทีมมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ประโยชน์ที่จะได้รับจากการทำ Kanban

Kanban ไม่เพียงช่วยในการจัดการงาน แต่ยังส่งเสริมประสิทธิภาพและความคล่องตัวในการทำงานของทีมในหลากหลายมิติ โดยมีรายละเอียดดังนี้

  1. เพิ่มความโปร่งใส
    Kanban Board ช่วยให้ทีมสามารถมองเห็นภาพรวมของกระบวนการทำงานในทุกขั้นตอน สมาชิกทีมทุกคนสามารถทราบสถานะของงานว่าอยู่ในขั้นตอนใด ใครเป็นผู้รับผิดชอบ และมีงานที่รออยู่มากน้อยเพียงใด ทำให้สามารถวางแผนและจัดลำดับความสำคัญได้อย่างชัดเจน
  2. ลดความล่าช้า
    การใช้หลักการจำกัด WIP (Work in Progress) ช่วยลดปัญหางานค้างและปริมาณงานที่มากเกินไปในแต่ละขั้นตอน ส่งผลให้การไหลของงานราบรื่นขึ้นและลดระยะเวลาที่งานต้องรออยู่ในระบบ นอกจากนี้ยังช่วยให้ทีมสามารถระบุจุดที่เกิดปัญหาหรือ Bottleneck ได้ง่ายขึ้น
  3. ส่งเสริมการสื่อสารในทีม
    กระดาน Kanban เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการสื่อสารระหว่างสมาชิกทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเคลื่อนย้ายบัตรงานหรือการเปลี่ยนสถานะงานบนกระดานเป็นข้อมูลที่ทุกคนในทีมสามารถติดตามได้แบบเรียลไทม์ ทำให้ทีมสามารถปรึกษาหรือแก้ไขปัญหาได้ทันทีเมื่อเกิดความล่าช้าหรืออุปสรรค
  4. ปรับตัวง่าย
    Kanban เป็นระบบที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับใช้ได้กับทุกประเภทของงานหรือกระบวนการ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาซอฟต์แวร์ การจัดการโปรเจกต์ หรือแม้แต่การบริหารงานส่วนบุคคล ด้วยโครงสร้างที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ทำให้ทีมสามารถเริ่มใช้งานได้โดยไม่ต้องมีการฝึกอบรมที่ซับซ้อน
  5. ช่วยในการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
    Kanban เน้นการปรับปรุงกระบวนการทำงานผ่านการวิเคราะห์ข้อมูล เช่น การวัด Lead Time (เวลาที่ใช้ตั้งแต่เริ่มงานจนเสร็จสิ้น) หรือ Cycle Time (เวลาที่ใช้ในแต่ละขั้นตอน) ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้ทีมสามารถปรับกระบวนการทำงานให้เหมาะสมยิ่งขึ้นในระยะยาว
  6. เพิ่มความพึงพอใจในทีม
    ด้วยการทำให้ทุกคนในทีมสามารถมองเห็นเป้าหมายและความสำเร็จที่ชัดเจน ความเครียดจากการทำงานที่ซับซ้อนจะลดลง สมาชิกทีมสามารถโฟกัสกับงานในมือได้ดีขึ้น ส่งผลให้บรรยากาศในการทำงานดีขึ้นและความพึงพอใจของทีมเพิ่มขึ้น

Kanban กับ ERP เหมือนกันหรือไม่ และมีความเชื่อมโยงกันอย่างไร ?

ERP หรือ Enterprise Resource Planning เป็นระบบซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยบริหารจัดการกระบวนการต่าง ๆ ภายในองค์กรในลักษณะครบวงจร จุดเด่นของ ERP คือ การรวมข้อมูลจากทุกแผนกในองค์กร เช่น การจัดการสินค้าคงคลัง การวางแผนการผลิต การจัดการทรัพยากรบุคคล และการเงินให้อยู่ในระบบเดียว สิ่งนี้ช่วยให้ผู้จัดการสามารถเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อวางแผนและตัดสินใจได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ

ลองนึกภาพว่า ERP เป็นเหมือน “แกนหลักขององค์กร” ที่ทำหน้าที่รวบรวมและเชื่อมโยงข้อมูลทั้งหมดจากแผนกต่าง ๆ เพื่อให้สามารถมองเห็นภาพรวมได้ชัดเจน ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณต้องการดูว่าคำสั่งซื้อสินค้าอยู่ในสถานะใด ERP สามารถบอกได้ว่ามีวัตถุดิบเพียงพอในคลังหรือไม่ สถานะการผลิตเป็นอย่างไร และคำสั่งซื้อนั้นสามารถจัดส่งได้เมื่อใด

แต่ในอีกมุมหนึ่ง Kanban ไม่ใช่ซอฟต์แวร์ แต่เป็นแนวคิดหรือวิธีการที่ใช้ในการจัดการงาน โดย Kanban มีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงกระบวนการทำงานให้ลื่นไหลและมีประสิทธิภาพ Kanban เน้นการมองเห็นสถานะงานในกระบวนการผ่าน Kanban Board ซึ่งเป็นเครื่องมือที่แสดงสถานะของงานแต่ละชิ้นในลักษณะของบัตร (Card) ที่ย้ายจากสถานะหนึ่งไปอีกสถานะหนึ่ง เช่น จาก “To Do” ไป “In Progress” และ “Done”

Kanban มีความยืดหยุ่นสูงและสามารถปรับใช้ได้กับหลากหลายบริบท เช่น การจัดการทีม การบริหารโครงการ หรือแม้กระทั่งการบริหารงานส่วนตัว ช่วยให้ทีมสามารถมองเห็นงานในกระบวนการได้ชัดเจนและสามารถวางแผนเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหางานค้าง ได้อย่างรวดเร็ว


ERP และ Kanban สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น Kanban อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการแสดงสถานะของงานหรือคำสั่งในระบบ ERP ตัวอย่างเช่น หาก ERP ระบุว่ามีคำสั่งผลิต Kanban Board จะสามารถแสดงภาพรวมว่าแต่ละคำสั่งอยู่ในสถานะใด เช่น กำลังผลิต อยู่ระหว่างตรวจสอบคุณภาพ หรือพร้อมจัดส่ง การผสานการทำงานนี้ช่วยให้ทีมสามารถติดตามงานได้ง่ายขึ้น และผู้บริหารสามารถมองเห็นทั้งภาพรวมและรายละเอียดเชิงลึกได้อย่างรวดเร็ว

การทำงานร่วมกันระหว่าง ERP และ Kanban จึงช่วยลดความซับซ้อน เพิ่มความโปร่งใส และช่วยให้องค์กรสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงได้ดียิ่งขึ้น เป็นการรวมจุดแข็งของทั้งสองระบบเพื่อสร้างประสิทธิภาพสูงสุดในการดำเนินงาน


Kanban เป็นระบบที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังในการจัดการงานและกระบวนการทำงาน โดยมีหลักการสำคัญที่ช่วยให้ทีมสามารถจัดการงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็นกระบวนการ การจำกัดงานในกระบวนการ หรือการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง Kanban Board ช่วยเพิ่มความโปร่งใสและส่งเสริมการสื่อสารในทีม พร้อมทั้งปรับตัวให้เข้ากับความต้องการขององค์กรในหลากหลายบริบท

เมื่อผสานการใช้งาน Kanban เข้ากับระบบ ERP จะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการวางแผนและบริหารทรัพยากรในระดับองค์กร ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและลดความซับซ้อนของกระบวนการได้อย่างชัดเจน Kanban ไม่เพียงเป็นเครื่องมือ แต่ยังเป็นแนวคิดที่ช่วยผลักดันองค์กรให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว

Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Pisit Poocharoen
Former field engineer seeking to break free from traditional learning frameworks. อดีตวิศวกรภาคสนามที่ต้องการหลุดออกจากกรอบการเรียนรู้แบบเดิม ๆ