ภาคอุตสาหกรรมไทยเจอศึกรอบด้าน ดัชนีความเชื่อมั่นเดือนมิถุนายน 2568 ร่วงมาอยู่ที่ระดับ 87.7 ต่ำสุดในรอบ 8 เดือน จากผลกระทบหลายด้าน ทั้งการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา การห้ามนำเข้าน้ำมันและก๊าซจากไทย รวมถึงแรงกดดันจากสหรัฐฯ ที่ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้ากลุ่มเหล็กและอลูมิเนียมเป็น 50% ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย
นอกจากปัจจัยภายนอกแล้ว เศรษฐกิจในประเทศก็ไม่สดใสนัก ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ทำให้รายได้ภาคเกษตรหดตัว กระทบต่อกำลังซื้อในภูมิภาค ขณะที่เงินบาทแข็งค่าและการเมืองที่ยังไม่แน่นอนยิ่งเพิ่มความกังวลให้ภาคเอกชน
ดัชนีคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ 90.8 ลดลงจาก 91.7 ในเดือนก่อนหน้า สะท้อนความไม่มั่นใจในอนาคต โดยเฉพาะปัญหาที่ชายแดนและภาระต้นทุนจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในบางกิจการ เริ่มฉุดความเชื่อมั่นกลุ่ม SMEs อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ดี ยังมีแรงสนับสนุนจากการเร่งส่งออกก่อนมาตรการภาษีตอบโต้จะมีผล รวมถึงทิศทางบวกจากการเจรจาการค้าระหว่างไทย – สหรัฐฯ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 1.15 แสนล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะช่วยหนุน GDP เพิ่มราว 0.4% ในปีนี้
ภาคเอกชนเสนอรัฐออก 3 มาตรการเร่งด่วน ได้แก่
– ช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการปิดด่านชายแดน
– เร่งเบิกจ่ายงบกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ
– เจรจาลดภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ก่อนมาตรการใหม่จะมีผล 1 ส.ค. นี้
ส.อ.ท. เตือน หากปล่อยให้ไทยถูกเก็บภาษี 36% ต่อไป ผู้ประกอบการในหลายอุตสาหกรรมอาจไม่สามารถแข่งขันได้ โดยเฉพาะกลุ่มเคมีภัณฑ์ที่ยังปรับตัวไม่ทัน ยกเว้นบางกลุ่มอย่างอุตสาหกรรมยา ที่อาจได้ประโยชน์ในเชิงคุณภาพ
มุมมองในภาคอุตสาหกรรมของทาง MM Thailand
การที่ดัชนีเชื่อมั่นภาคอุตฯ ร่วงต่อเนื่อง สะท้อนภาวะเปราะบางของเศรษฐกิจฐานการผลิตไทยต่อปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะการเมืองระหว่างประเทศและนโยบายการค้า หากไทยยังขาดความชัดเจนเรื่องมาตรการรองรับและการเจรจา FTA เชิงรุก อุตสาหกรรมการผลิตเพื่อส่งออกอาจเผชิญแรงเสียดทานสูงขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ผู้ประกอบการต้องแบกรับต้นทุนพลังงานและแรงงานที่พุ่งขึ้นพร้อมกัน
ความสามารถในการรักษาตลาดส่งออกเดิม และขยายตลาดใหม่แบบมีเงื่อนไขภาษีที่แข่งขันได้ คือโจทย์เร่งด่วนของรัฐและเอกชน หากช้า อุตสาหกรรมไทยอาจเจอสถานการณ์ผลิตแต่ขายไม่ได้ในระยะยาว
ที่มาข่าว : สำนักข่าวอินโฟเควสท์









