SIEMENS
Taiwan Excellence-Manufacturing Expo 2025
ภาพชายหนุ่มกำลังเดินตามเส้นทางที่ทอดยาวสู่อนาคต โดยรายล้อมด้วยสัญลักษณ์ของทักษะสำคัญในยุคใหม่ เช่น หนังสือ นาฬิกา ดัมเบล คอมพิวเตอร์ การนั่งสมาธิ และการสื่อสาร สื่อถึงการพัฒนาทักษะรอบด้านเพื่อพร้อมรับโลกการทำงานในปี 2025

7 ทักษะที่คนทำงานต้องมี ถ้าไม่อยากถูกแทนที่ในปี 2025

Date Post
16.05.2025
Post Views

โลกของการทำงานในปี 2025 แตกต่างจากยุคก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่แค่เพราะการมาถึงของเทคโนโลยีใหม่ ๆ เท่านั้น แต่เป็นเพราะธรรมชาติของการทำงานเองก็เปลี่ยนไป พนักงานที่เคยทำงานซ้ำเดิมได้อย่างต่อเนื่อง อาจต้องเจอกับระบบอัตโนมัติที่เข้ามาแทนที่ ส่วนคนที่เชี่ยวชาญเพียงด้านเดียว อาจกลายเป็นช้าเกินไป ในยุคที่ทุกอย่างต้องปรับทันโลกแทบทุกวัน

ในยุคที่ Gen Z ทำงานร่วมกับ Baby Boomer ในองค์กรเดียวกัน โลกที่ AI เขียนรายงานได้ในไม่กี่วินาที และเศรษฐกิจโลกเปราะบางเพียงข่าวเดียวจากอีกฟากทวีป พนักงานทุกคนต้องพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนเป็นเรื่องปกติ การมีทักษะหลากหลายที่ผสมผสานทั้ง Soft Skills และ Digital Skills จึงเป็นหัวใจของการทำงานในยุคใหม่

เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมั่นใจในยุคที่เปลี่ยนเร็วเกินคาด ต่อไปนี้คือ 7 ทักษะสำคัญที่พนักงานทุกระดับควรมีติดตัว หากต้องการเติบโตในสายงาน และกลายเป็นคนที่องค์กรยุคใหม่ไว้วางใจให้เดินไปด้วยกัน

ทักษะที่ 1 ความสามารถในการปรับตัว (Adaptability)

ในยุคที่สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งรูปแบบการทำงาน เทคโนโลยี และความคาดหวังขององค์กร พนักงานที่สามารถปรับตัวได้ทันคือคนที่เปล่งประกายเหนือใคร ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงตนเองให้เข้ากับบริบทใหม่ ไม่เพียงแค่ช่วยให้ทำงานได้ราบรื่นขึ้นเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงภาวะผู้นำและความเป็นมืออาชีพที่องค์กรยุคใหม่ต้องการอย่างแท้จริง

Adaptability ไม่ใช่แค่การยอมรับการเปลี่ยนแปลง แต่คือการก้าวไปข้างหน้า อย่างมั่นใจแม้จะไม่มีแผนที่ชัดเจน พนักงานที่มีทักษะนี้จะสามารถเปลี่ยนบทบาทในทีมได้โดยไม่สะดุด พร้อมรับมือกับเครื่องมือใหม่ ๆ ระบบใหม่ ๆ และกระบวนการใหม่ ๆ โดยไม่ต่อต้านหรือยึดติดกับวิธีเดิม

ลองนึกภาพว่าบริษัทเปลี่ยนระบบ CRM ทั้งหมดภายใน 2 สัปดาห์ บางคนอาจรู้สึกเครียดหรือมองว่าเป็นภาระเพิ่มเติม ขณะที่บางคนกลับยื่นมือขอทดลองใช้งานเป็นกลุ่มแรก พร้อมช่วยเพื่อนร่วมทีมให้เข้าใจระบบใหม่มากขึ้น ท่าทีเช่นนี้ไม่เพียงเป็นการปรับตัว แต่ยังแสดงถึงความเป็นผู้นำในบริบทของการเปลี่ยนแปลง

การฝึก Adaptability เริ่มได้ง่าย ๆ จากการสร้างนิสัยเปิดใจ เช่น ตั้งเป้าทดลองสิ่งใหม่ ๆ อย่างน้อยเดือนละครั้ง อาจเป็นการเรียนรู้เครื่องมือดิจิทัลใหม่ ๆ การทำงานข้ามแผนก หรือแม้แต่การขอลองทำโปรเจกต์ที่อยู่นอกเหนือความถนัด เมื่อคุณฝึกให้สมองและหัวใจยืดหยุ่นมากพอ การเปลี่ยนแปลงครั้งต่อไปจะไม่ใช่อุปสรรค แต่คือโอกาสที่คุณรอคอย

ทักษะที่ 2 ความสามารถด้านดิจิทัล (Digital Fluency)

ในปี 2025 ดิจิทัลไม่ใช่แค่เครื่องมือที่ใช้เฉพาะในบางขั้นตอนของการทำงานอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็น สภาพแวดล้อมหลัก ที่ห่อหุ้มการทำงานในแทบทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารภายใน การจัดการโครงการ การวิเคราะห์ข้อมูล หรือแม้แต่การสร้างสรรค์งานใหม่ พนักงานในยุคนี้จึงไม่เพียงต้อง ใช้เทคโนโลยีเป็นแต่ต้องมีความคล่องแคล่วในการเลือกใช้และปรับตัวกับเทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสมกับบริบทของงาน

Digital Fluency ไม่ได้หมายถึงการเชี่ยวชาญเชิงเทคนิคแบบลึกเท่านั้น แต่รวมถึงความสามารถในการเข้าใจธรรมชาติของเทคโนโลยีที่ใช้ เช่น เข้าใจว่าข้อมูลใดควรเก็บไว้ที่ใด มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยอย่างไร และสามารถประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูลได้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ยังต้องมีความเปิดกว้างต่อเครื่องมือใหม่ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น Generative AI, RPA (Robotic Process Automation), หรือแพลตฟอร์มที่ช่วยให้การทำงานร่วมกันมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น พนักงานที่มี Digital Fluency ยังสามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ เช่น ใช้ AI ช่วยตั้งโจทย์การตลาด ใช้ Power BI วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า หรือใช้ Notion วางโครงสร้างงานร่วมกับทีมจากหลายประเทศ ความสามารถเหล่านี้ไม่ได้แค่ช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น แต่ยังสร้างความแตกต่างเชิงกลยุทธ์ให้กับทั้งตัวบุคคลและองค์กร

เริ่มต้นจากการเปิดใจเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ทุกสัปดาห์ อาจเลือกเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับงานโดยตรง เช่น Trello สำหรับจัดการงาน หรือใช้ AI อย่าง ChatGPT ช่วยสรุปรายงาน ทดลองใช้วันละ 15–30 นาที จะช่วยให้เกิดความคุ้นเคย และค่อย ๆ เปลี่ยนจากผู้ใช้งานทั่วไป เป็นผู้ใช้อย่างมีวิจารณญาณและเชิงกลยุทธ์

ทักษะที่ 3 การคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหาเชิงระบบ (Critical Thinking & Problem Solving)

ในยุคที่ข้อมูลถาโถมทุกทิศทาง จนแทบจะแยกไม่ออกว่าอะไรคือข้อเท็จจริง อะไรคือความคิดเห็น หรือแม้กระทั่งข่าวปลอม การคิดอย่างมีวิจารณญาณจึงกลายเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในการทำงาน พนักงานที่มี Critical Thinking จะไม่หยุดอยู่แค่การปฏิบัติตามคำสั่งหรือข้อเสนอแนะ แต่จะกล้าตั้งคำถาม ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล และวิเคราะห์ปัญหาอย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจลงมือทำ

การคิดวิเคราะห์เชิงลึกช่วยให้เรามองเห็นต้นตอของปัญหาจริง ๆ แทนที่จะตกอยู่ในวังวนของการแก้ที่ปลายเหตุ ตัวอย่างเช่น หากแคมเปญการตลาดออนไลน์ไม่บรรลุเป้าหมาย คนที่มี Critical Thinking จะไม่รีบโทษทีมโฆษณา หรือสรุปว่าเนื้อหาไม่น่าสนใจในทันที แต่จะกลับมาพิจารณาเส้นทางของผู้ใช้งาน (funnel conversion) วิเคราะห์จุดที่ลูกค้าหลุดออกจากระบบ สำรวจพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย และตั้งข้อสมมุติเพื่อทดลองวิธีการใหม่ โดยอิงจากข้อมูลที่ชัดเจน ไม่ใช่ความรู้สึกส่วนตัว

การฝึก Critical Thinking เริ่มต้นจากการฝึกตั้งคำถามให้บ่อยและหลากหลาย เช่น ทำไมถึงเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น หรือถ้าเปลี่ยนวิธีการตรงนี้ ผลลัพธ์จะต่างไปหรือไม่ เมื่อสมองคุ้นชินกับการคิดเป็นระบบมากกว่าการตอบสนองแบบอัตโนมัติ คุณจะเริ่มมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น และกลายเป็นคนที่องค์กรไว้วางใจให้ช่วยขับเคลื่อนการตัดสินใจที่สำคัญ

ทักษะที่ 4 การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ (Effective Communication)

ในโลกการทำงานยุคใหม่ที่ทีมไม่ได้ประกอบด้วยคนจากสายงานเดียวกันอีกต่อไป การสื่อสารให้เข้าใจจึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จ พนักงานอาจต้องทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมทีมที่มาจากหลากหลายวัฒนธรรม มีวิธีคิดและภาษาการทำงานแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การอธิบายเรื่องซับซ้อนให้คนอีกฝ่ายเข้าใจได้ ไม่ใช่แค่การเลือกคำพูดที่ถูกต้อง แต่คือการเข้าใจมุมมองของผู้ฟังอย่างแท้จริง

การสื่อสารที่ดีไม่ใช่เพียงการพูดเก่งหรือใช้คำหรู แต่คือการสื่อความหมายได้ตรงกับที่ตั้งใจ ส่งต่อความคิดอย่างเป็นระบบ และเปิดพื้นที่ให้คนอื่นกล้าตอบกลับโดยไม่รู้สึกกลัวหรือถูกตัดสิน ที่สำคัญคือทักษะการฟังอย่างตั้งใจ เพราะบ่อยครั้งความเข้าใจผิดและความขัดแย้งไม่ได้เกิดจากสิ่งที่พูดออกมา แต่จากสิ่งที่ผู้ฟังละเลยหรือไม่ได้รับรู้จริง ๆ

การสร้างความไว้วางใจในทีม ความกล้าในการแสดงความคิดเห็น และบรรยากาศที่เอื้อต่อความร่วมมือ ล้วนเกิดจากการสื่อสารที่มีคุณภาพและมีเป้าหมายร่วมกัน การรู้จักจังหวะที่จะฟัง จังหวะที่จะพูด และจังหวะที่จะถาม ทำให้การทำงานมีพลังมากกว่าการแลกเปลี่ยนคำพูดธรรมดา

เริ่มต้นจากการฝึกสรุปประเด็นการประชุมให้กระชับและชัดเจนภายใน 1 นาที เพื่อฝึกการเรียบเรียงความคิดอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ลองฝึกอธิบายเรื่องยากให้เพื่อนที่อยู่นอกสายงานเข้าใจ โดยไม่ใช้ศัพท์เฉพาะหรือคำยากเกินความจำเป็น วิธีนี้จะช่วยพัฒนาทักษะการสื่อสารแบบเข้าใจผู้ฟังอย่างแท้จริง

ทักษะที่ 5 การเรียนรู้ด้วยตัวเอง (Self-Learning)

ในโลกที่ความรู้ใหม่เกิดขึ้นทุกวันและเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่มีองค์กรใดสามารถจัดอบรมให้พนักงานทันกับทุกการเปลี่ยนแปลงได้เสมอไป ดังนั้นพนักงานที่สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้จึงกลายเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดในยุคนี้ ความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self-Learning) ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การอ่านหนังสือหรือเรียนคอร์สออนไลน์เท่านั้น แต่ยังหมายถึงทัศนคติที่เปิดรับสิ่งใหม่อยู่เสมอ กล้าทดลอง ลงมือทำ และสะท้อนผลลัพธ์ของตนอย่างต่อเนื่อง

คนที่มีทักษะ Self-Learning จะไม่หยุดอยู่กับสิ่งที่ตนรู้แล้ว แต่จะมองหาโอกาสในการพัฒนาแม้ในช่วงเวลาว่างเล็กน้อย เช่น การฟัง Podcast ระหว่างเดินทาง การลงเรียนคอร์สสั้น ๆ ระหว่างพักกลางวัน หรือแม้แต่การตั้งคำถามหลังการประชุมว่า มีอะไรที่เรายังไม่เข้าใจ? การเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอเหล่านี้ เมื่อสะสมต่อเนื่องจะกลายเป็นข้อได้เปรียบทางอาชีพที่โดดเด่นในระยะยาว

การฝึก Self-Learning เริ่มต้นได้ง่ายจากการตั้งเป้าหมาย Microlearning รายสัปดาห์ เช่น เรียนคอร์ส 15 นาที/วัน หรืออ่านสรุปหนังสือธุรกิจ 2 เรื่องต่อเดือน นอกจากนี้การบันทึกสิ่งที่เรียนรู้แต่ละวันลงในสมุด หรือแชร์ต่อกับเพื่อนร่วมงาน ก็เป็นวิธีที่ช่วยให้การเรียนรู้ฝังรากลึกและกลายเป็นนิสัยที่ยั่งยืน

ทักษะที่ 6 ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence – EQ)

แม้ AI จะประมวลผลได้รวดเร็วและแม่นยำ แต่สิ่งที่ยังไม่มีเทคโนโลยีใดสามารถเลียนแบบได้อย่างแท้จริงคือความสามารถในการเข้าใจและเชื่อมโยงกับอารมณ์ของมนุษย์ ทักษะด้านความฉลาดทางอารมณ์ หรือ EQ (Emotional Intelligence) จึงเป็นหนึ่งในจุดแข็งที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ในโลกการทำงานยุคใหม่

พนักงานที่มี EQ สูงมักสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้แม้อยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด มีความยืดหยุ่นทางอารมณ์ รับฟังความเห็นต่างอย่างมีสติ และเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนร่วมงานได้อย่างลึกซึ้ง ความสามารถเหล่านี้ทำให้เกิดความไว้ใจในทีม ลดความขัดแย้ง และช่วยให้ทุกคนสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นบ่อยครั้ง คนที่มี EQ สูงจะกลายเป็นศูนย์กลางของทีม เป็นผู้ที่คอยประคองอารมณ์โดยรวมขององค์กร สร้างบรรยากาศที่เป็นมิตร และเป็นผู้นำทางอารมณ์แม้ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งผู้บริหารโดยตรง เพราะการเข้าใจผู้อื่นอย่างแท้จริงคือรากฐานของความเป็นผู้นำที่แท้จริง

เริ่มจากการสังเกตอารมณ์ของตัวเองในแต่ละวัน เช่น ขณะเผชิญความเครียดหรือความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน แล้วจดบันทึกสิ่งที่รู้สึกและสิ่งที่เลือกแสดงออก จากนั้นฝึกตั้งสติในสถานการณ์ที่มักกระตุ้นอารมณ์ เช่น การถูกวิจารณ์หรือเผชิญความล้มเหลว เมื่อฝึกบ่อย ๆ จนเป็นนิสัย ความสามารถในการควบคุมตนเองและเข้าใจผู้อื่นจะค่อย ๆ เติบโตขึ้นอย่างมั่นคง

ทักษะที่ 7 จริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม (Ethical Awareness)

ในยุคที่องค์กรถูกจับตามองจากทั้งลูกค้า นักลงทุน สื่อ และภาคประชาสังคม ความโปร่งใสและจริยธรรมจึงไม่ใช่แค่ข้อพึงปฏิบัติ แต่กลายเป็นพื้นฐานของการดำรงอยู่ในระยะยาว พนักงานที่มีจิตสำนึกในความถูกต้องจะกลายเป็นเสาหลักที่ช่วยปกป้ององค์กรจากความเสี่ยงในเชิงชื่อเสียง กฎหมาย และความเชื่อมั่นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด

Ethical Awareness หมายถึงความสามารถในการแยกแยะถูกผิดอย่างมีหลักการ และเลือกกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้ในสถานการณ์ที่กดดันหรือล่อแหลม พนักงานที่มีทักษะนี้จะไม่บิดเบือนข้อมูลเพื่อผลประโยชน์เฉพาะหน้า ไม่ละเมิดสิทธิของลูกค้าหรือเพื่อนร่วมงาน และกล้าหยัดยืนเมื่อเห็นความไม่ชอบมาพากล ไม่ใช่เพราะหน้าที่ แต่เพราะคุณค่าภายในที่ยึดมั่นในความยุติธรรม

การฝึก Ethical Awareness เริ่มจากสิ่งง่าย ๆ เช่น การทบทวนหลักจริยธรรมขององค์กรอย่างสม่ำเสมอ การตั้งคำถามกับตนเองก่อนตัดสินใจในเรื่องสำคัญว่าถ้าผู้อื่นรู้ในสิ่งที่เราทำ พวกเขาจะไว้วางใจเราหรือไม่? หรือการกระทำนี้จะส่งผลอย่างไรในระยะยาวต่อผู้อื่นและต่อสังคม? นอกจากนี้การเข้าร่วมเวิร์กช็อปเกี่ยวกับธรรมาภิบาล หรือการอ่านกรณีศึกษาทางจริยธรรมก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยฝึกมุมมองเชิงจริยธรรมให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ใครพร้อมก่อนคนนั้นได้เปรียบ โลกของการทำงานปี 2025 ไม่ได้รอใคร และไม่ให้อภัยคนที่ละเลยคุณธรรมง่าย ๆ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในตำแหน่งใดก็ตาม ทักษะทั้ง 7 ข้อนี้คือเครื่องมือพื้นฐานที่คุณต้องมี หากต้องการเติบโตในสายงานและพร้อมรับมือกับอนาคตที่ยังไม่มีใครคาดเดาได้แน่นอน ไม่ใช่แค่เพื่อความอยู่รอด แต่อยู่เหนือการเปลี่ยนแปลงและกลายเป็นคนที่องค์กรไว้วางใจที่สุดในยุคที่คุณค่าของมนุษย์คือหัวใจของความยั่งยืน

Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Pisit Poocharoen
Former field engineer seeking to break free from traditional learning frameworks. อดีตวิศวกรภาคสนามที่ต้องการหลุดออกจากกรอบการเรียนรู้แบบเดิม ๆ
Logistics Automation Expo 2025