Secure tech 2024

Robosta Cafe’ โรงงานผลิตกาแฟระบบอัตโนมัติที่ทุกคนสัมผัสได้

Date Post
19.11.2020
Post Views

สุนทรียภาพเป็นเรื่องของรสนิยมที่สามารถขายและสร้างมูลค่าได้ เป็นความคลาสสิกที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็สามารถสร้างความแตกต่างและโดดเด่นได้ ซึ่งการดื่มกาแฟก็ถือเป็นศาสตร์และศิลป์ที่มีความลึกซึ้ง ซึ่งหลายคนอาจคิดไม่ถึงว่าความซับซ้อนเหล่านี้ก็สามารถสร้างสรรค์ผ่านระบบอัตโนมัติได้อย่างละเมียดละไม ภายใต้แนวคิดของ Robosta Cafe’ รสนิยม สุนทรียภาพและเทคโนโลยีสามารถผสมผสานกันได้อย่างกลมกล่อมลงตัว

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าวัฒนธรรมการกินกาแฟนั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คนยุคใหม่ไปแล้ว ซึ่งตลาดกาแฟในประเทศไทยนั้นก็มีความแตกต่างหลากหลายเป็นอย่างมากตั้งแต่กาแฟสดรถเข็น ร้านเจ้าประจำหน้าปากซอย กาแฟซองปรุงสำเร็จ กาแฟตามร้านสะดวกซื้อ เชนกาแฟรายใหญ่ไปจนถึงร้านสำหรับคนรักกาแฟโดยเฉพาะ ซึ่งหัวใจสำคัญของร้านกาแฟนั้นเกิดขึ้นได้จากรสชาติที่พ่วงมากับราคาที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย

ทั้งรสชาติและราคาขายต่างเกี่ยวข้องโดยตรงกับต้นทุนไม่ว่าจะเป็นค่าแรงสำหรับคนชงกาแฟที่แปรผันไปตามทักษะความสามารถ ค่าสถานที่ ค่าวัตถุดิบต่าง ๆ ในขณะที่ขั้นตอนกระบวนการสำหรับร้านกาแฟก็มีรายละเอียดที่ต้องพิถีพิถันไม่น้อย ทำให้การนำแนวคิดการใช้ระบบอัตโนมัติสำหรับร้านกาแฟเพื่อลดต้นทุนเกิดขึ้นมาทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยเราอาจเคยเห็นหุ่นยนต์ชงกาแฟตามงานแสดงสินค้าต่าง ๆ ที่ถูกใช้ในบทบาทของสัญลักษณ์แห่งนวัตกรรมและความหรูหรา เช่น งานแสดงสินค้าอุตสาหกรรม งานแสดงนวัตกรรมระดับชาติ แต่ในวันนี้โซลูชันสำหรับร้านกาแฟระบบอัตโนมัติที่สามารถใช้งานได้จริงในประเทศไทยได้เกิดขึ้นแล้ว สามารถตอบสนองต่อการเปิดร้านสำหรับขายในแบบ Kiosk ไปจนถึงการใช้งานเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ โดยโซลูชันที่เกิดขึ้นนี้ ชื่อว่า Robosta Cafe’ จาก BRAINWORKS ผู้ผลิตชาวไทยที่มากด้วยฝีมือและวิสัยทัศน์

Robosta Cafe’ ผลิตกาแฟสดด้วย IoT เต็มรูปแบบ

จากนวัตกรรมที่มีรากฐานมาจากระบบการผลิตอัตโนมัติยุคดิจิทัล หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อว่า การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (Industrie 4.0) ทำให้เกิดการต่อยอดระบบอัตโนมัติภายในโรงงานด้วยการผสานนวัตกรรมดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Cloud หรืออุปกรณ์ไร้สายที่ถูกออกแบบให้จัดส่งข้อมูลการผลิตแบบ Real-time สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิด Productivity ที่โปร่งใส ชัดเจน และสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที แต่จินตนาการกันได้ไหมครับว่าหากนำศักยภาพเหล่านี้มาใส่ลงในร้านกาแฟร้านหนึ่งมันจะออกมาเป็นอย่างไร?

Robosta Cafe’ เรียกได้ว่าเป็นร้านกาแฟยุคดิจิทัลที่ไม่แทบจะไม่แตกต่างไปจากโรงงานอุตสาหกรรมอัตโนมัติเต็มรูปแบบ มนุษย์มีหน้าที่หลักในการซ่อมบำรุงหรือเติมวัตถุดิบเท่านั้น แต่สำหรับสูตรกาแฟ การชง การเสิร์ฟ ไปจนถึงการสั่งกาแฟและการจ่ายเงินจะถูกดำเนินการผ่านแพลตฟอร์มอัตโนมัติ เริ่มตั้งแต่การสั่งกาแฟนผ่านหน้าจอที่มีกาแฟให้เลือกหลากหลายสูตร ไปจนถึงการปรับเลือกขนาดแก้วหรือรายละเอียดอื่น ๆ เมื่อถึงเวลาจ่ายค่ากาแฟก็สามารถทำได้ง่ายดายเพียงสแกน QR ผ่านแอปพลิเคชันธนาคารเท่านั้น เมื่อคำสั่งเสร็จสิ้นเครื่องก็จะชงกาแฟรสชาติเยี่ยมไม่ผิดเพี้ยนจากเจ้าของสูตรมาให้พร้อมกับยื่นใบเสร็จและรหัสสำหรับรับกาแฟ จากนั้นทำการยืนยันรหัสที่ Kiosk หุ่นยนต์ Cobot สุดเก๋ไก๋ก็จะนำกาแฟมาเสิร์ฟให้บนแท่นที่จะค่อย ๆ ลดระดับกาแฟลงมาให้สามารถหยิบจับได้อย่างถนัดมือ

จุดเด่นของ Robosta Cafe’s นั้นก็ไม่แตกต่างจากโรงงานอัจฉริยะ คือ การทำงานได้โดยไม่ต้องใช้แรงงานมนุษย์ สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง เก็บข้อมูลการทำงานทุกขั้นตอนเพื่อนำไปต่อยอดและประมวลผลแบบ Real-time มีความแม่นยำและควบคุมคุณภาพสินค้าได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน เรียกว่าใช้งานศักยภาพ IoT ได้อย่างเต็มที่ตั้งแต่คำสั่งซื้อ ระบบจ่ายเงิน ไปจนถึงการ Brew กาแฟและเสิร์ฟให้กับลูกค้า Robosta Cafe’ จึงเหมาะสำหรับการใช้งานจริงตามห้างร้านสถานที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะ Exclusive Club หรือโชว์รูมสินค้าที่ต้องการสะท้อนออกถึงความหรูหราและนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์

จุดเด่นของ Robosta Cafe’ นั้นจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากแขนกลหุ่นยนต์ Cobot ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง Kiosk นั่นเอง แต่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่ทำให้ Robosta Cafe’ สามารถทำงานได้ไม่ได้มาจากแค่หุ่นยนต์เท่านั้นแต่ยังเป็นผลมาจากอุปกรณ์และแพลตฟอร์มอันชาญฉลาดด้วยเช่นกัน โดยส่วนประกอบสำคัญสำหรับ Robosta Cafe’ ได้แก่

Cobot JAKA

หุ่นยนต์ Cobot Jaka จากประเทศจีน ถูกออกแบบมาให้สามารถใช้งานได้อย่างง่ายดาย มีระบบ Sensing ที่คอยป้องกันอันตรายจากการกระแทก สามารถตั้งค่าโดยการลงแอปพลิเคชันสำหรับแท็บเบล็ตแทนการใช้งาน Teach Pendant ทำให้สามารถตั้งค่าการทำงานได้อย่างรวดเร็ว สามารถจับคู่กับหุ่นยนต์ได้หลายตัวโดยไม่จำเป็นต้องผูกเครื่องกับหุ่นยนต์แบบ 1:1 มี End of Arm ให้เลือกใช้หลากหลาย โดย Robosta Cafe’ ได้ติดตั้ง Adaptive Gripper จาก Robotiq รุ่น 2F-85 ทำให้สามารถหยิบจับวัตถุต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องตั้งค่าเนื่องจากเครื่องมือสามารถตรวจจับและปรับแรงให้เหมาะสมได้ด้วยตัวเอง ทำให้สามารถหยิบแก้วกาแฟได้โดยง่าย

Thermoplan Black&White4

อีกหนึ่งอาวุธลับสำหรับ Robosta Cafe’ เครื่องชงกาแฟจากสวิตเซอร์แลนด์ Thermoplan รุ่น Black&White4 เป็นเครื่องชงกาแฟรุ่นเดียวในโลกที่ใช้ระบบอัตโนมัติอย่างเต็มรูปแบบ ผสมผสานการใช้งาน IoT สื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลกับฐานข้อมูลบน Cloud ได้เพื่อทำการเก็บข้อมูลการทำงานทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบ ปริมาณพลังงาน จำนวนการผลิต ทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากการคาดการณ์เทรนด์การขายและวางแผนรับมือได้อย่างถูกต้องแม่นยำ สำหรับมิตรรักนักดื่มกาแฟ Black&White4 สามารถกำหนดสูตรและเมนูที่ต้องการได้อย่างอิสระ จึงมั่นใจได้ว่ากาแฟจะถูก Brew ขึ้นถูกต้องตามมาตรฐานและความต้องการ นอกจากนี้ยังสามารถติดตั้งออพชันเสริมได้อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเติมไซรัปต่าง ๆ เติมนม ทำฟองนม ไปจนถึงผงเครื่องปรุง อาทิ ช็อคโกแลตเป็นต้น เครื่องชงกาแฟน Black&White4 จึงเป็นเครื่องชงกาแฟอัตโนมัติที่ครบครันทุกความต้องการสำหรับร้านกาแฟ โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านกาแฟอัตโนมัติอย่าง Robosta Cafe’

IoT Platform

แพลตฟอร์มสำคัญที่เป็นตัวการเชื่อมต่อองค์ประกอบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นจอสัมผัสสำหรับสั่งกาแฟที่สามารถแสดง QR Code เพื่อการชำระเงิน อุปกรณ์สำหรับยืนยันรหัสคำสั่งซื้อ รวมทั้งการส่งคำสั่งไปยังเครื่องชงกาแฟและหุ่นยนต์อีกด้วย ตัวแพลตฟอร์ม IoT นี้จึงเป็นเหมือนส่วนที่เชื่อมต่อทุกหน่วยการทำงานเข้าด้วยกันทั้งการชงกาแฟ การเสิร์ฟ ไปจนถึงด้านการเงิน

Robosta Cafe’ ‘กล้า’ ที่จะส่งต่อสุนทรียภาพด้วยเทคโนโลยี

เราสามารถมองเห็นร้านเครื่องดื่มหรือร้านกาแฟต่าง ๆ ได้ทั่วทุกหัวมุมถนน ไม่ว่าจะแบรนด์ดังหรือร้านเด็ดประจำท้องถิ่น นอกเหนือไปจากคาเฟอีน การดื่มเพื่อดับร้อน หรือการดื่มด้วยความเคยชินแล้ว วัฒนธรรมการดื่มกาแฟยังกลายเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สะท้อนรสนิยม ความสุนทรีย์ ไปจนถึงภาพลักษณ์ได้ จึงไม่น่าแปลกใจที่แบรนด์หรูทั้งหลายเริ่มหันมาใช้ Life Style อย่างกาแฟเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์ของตัวเอง

ร้านกาแฟระบบอัตโนมัติอย่าง Robosta Cafe’ ในฐานะที่เป็นปลายยอดของนวัตกรรมที่ผสมผสานเข้ากับ Lifestyle นั้นไม่เพียงเป็นเรื่องแปลกใหม่ของประเทศไทย แต่ยังคงต้องอาศัยความกล้าและวิสัยทัศน์ที่เฉียบคมไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาให้สามารถใช้งานได้จริง ความสามารถในการผลิตซ้ำที่ไม่ใช่เพียงการบูรณาการเฉพาะกิจ ไปจนถึงการตลาดที่จะรองรับการมีอยู่ของเทคโนโลยีอันล้ำสมัย แนวคิดเหล่านี้เปิดประตูสู่โอกาสใหม่จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นตลาดของการผลิตหุ่นยนต์เพื่องานบริการ การใช้งานเทคโนโลยีอัตโนมัติสำหรับงานด้านภาพลักษณ์และนวัตกรรมของแบรนด์ การขยายสาขาแฟรนไชส์สำหรับร้านขายอาหารแบบอัตโนมัติ การมาถึงของ Robosta Cafe’ เป็นการยืนยันว่าหุ่นยนต​์ ระบบอัตโนมัติ ไปจนถึงแพลตฟอร์ม IoT ต่าง ๆ สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพในชีวิตประจำวัน โดยไม่ต้องดำเนินการบูรณาการเป็นรายกรณีตามความต้องการอีกต่อไป เทคโนโลยีระดับสูงจึงมีโอกาสที่จะ Mass หรือเข้าถึงคนหมู่มากได้ ซึ่งในอนาคตจะทำให้ต้นทุนของสิ่งที่เกี่ยวข้องต่ำลงและเกิดการเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วไม่ต่างจากคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนในปัจจุบัน

แม้ว่าในเวลาปัจจุบันการใช้เทคโนโลยีราคาสูงเหล่านี้ในชีวิตประจำวันอาจดูเป็นไปไม่ได้ ก้าวแรกของ Robosta Cafe’ จึงดูเหมือนเป็นเรื่องยากลำบาก แต่ด้วยความเข้าใจในศักยภาพของระบบที่บูรณาการและมองเห็นถึง Pain Point ที่ชัดเจน อาทิ อัตราการลาออกและการขาดแคลนของ Barista ที่เกี่ยวข้องกับเงินเดือนไปจนถึงความไม่แน่นอนของรสสัมผัสในการชงแม้จะเป็นคนชงคนเดียวกัน ร้านเดียวกันเป็นต้น ซึ่งถือเป็นประเด็นที่สร้างความอ่อนไหวให้ธุรกิจร้านกาแฟหรือเครื่องดื่มที่เป็นแฟรนไชส์ ความกล้าที่จะลงมือพัฒนา Robosta Cafe’ จึงสามารถแก้ Pain Point ที่มีได้อย่างเป็นรูปธรรมและเกิดขึ้นได้จริง เป็นการสร้างโอกาสใหม่ที่มีตรรกะรองรับอย่างชัดเจนและสมเหตุสมผล ด้วยการเปิดตัวขึ้นเป็นรายแรกในประเทศไทย พร้อมกับหลักการและเหตุผลที่ชัดเจน ไปจนถึงระบบการใช้งานและโมเดลธุรกิจที่จับต้องได้ ทำให้ Robosta Cafe’ ได้รับความสนใจจากธุรกิจด้านเครื่องดื่มและอาหารชั้นนำของประเทศ ด้วยความคุ้มค่าและศักยภาพที่รับประกันได้ว่าจะไม่เกิดการตกหล่นหรือผิดเพี้ยน

โดย Robosta Cafe’ ถูกออกแบบมาให้เลือกใช้ 4 รูปแบบ ได้แก่

  • Robosta L-Compact บูธขนาดใหญ่ 2.5×2 เมตร ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีเต็มรูปแบบ สามารถขยายติดตั้งหุ่นยนต์ขนาดกลางและเครื่องทำกาแฟได้จาก 1 ชุด เป็น 2 ชุด มาพร้อม End of Arm แบบ Adaptive ที่ทำให้การตั้งค่าต่าง ๆ เป็นเรื่องง่าย พร้อมระบบ POS
  • Robosta M-Compact บูธขนาดกลาง 1.4×1.2 เมตร มาพร้อมกับหุ่นยนต์ขนาดเล็กและเครื่องทำกาแฟอัตโนมัติ 1 ชุด และ End of Arm แบบธรรมดาที่ต้องตั้งค่าการใช้งานหยิบจับ พร้อมระบบ POS
  • Robosta E-Corner บูธเสริมที่เหมาะสำหรับร้านเบเกอรี่หรือร้านขายอาหารต่าง ๆ ที่ออกแบบมาให้สำหรับเข้ามุม ช่วยในการคิดเงินและการขายกาแฟ มีอุปกรณ์ภายในเช่นเดียวกับ Robosta M-Compact
  • Robosta Customized การออกแบบระบบพิเศษตามความต้องการของลูกค้า เช่น ร้านกาแฟอัตโนมัติรองรับไดรฟ์ทรู หรือร้านชานมไข่มุกเป็นต้น

ไม่เพียงมีตัวเลือกสำหรับความต้องการใช้งานเท่านั้น แต่ผู้ซื้อสามารถเลือกธีมสีและตกแต่งบางส่วนให้เข้ากับแบรนด์ของตัวเองได้ เรียกได้ว่าพร้อมใช้งานไม่ว่าจะเป็นแฟรนไชส์ขนาดเล็ก ไปถึงเชนขนาดใหญ่ที่ต้องการคุณภาพการชงกาแฟได้มาตรฐานตามสูตร

แม้ในวันนี้ระบบอัตโนมัติสำหรับร้านกาแฟยังดูห่างไกลจากชีวิตประจำวัน แต่การมาถึงของ Robosta Cafe’ สามารถยืนยันอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้นจากระบบอัตโนมัติที่ทุกคนเข้าถึงได้ในเวลาอีกไม่นานนัก ด้วยการเปิดตัวเป็นระบบอัตโนมัติสำหรับร้านค้า ร้านอาหาร และเครื่องดื่มรายแรกจึงไม่แปลกใจเลยที่ภาพจำในอนาคตสำหรับตลาดกลุ่ม Mass จะต้องมีชื่อของ Robosta Cafe’ อยู่เสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปหรือมีคู่แข่งหน้าใหม่ปรากฎตัวขึ้นมา 

Lifestyle Automation ตลาดใหม่สำหรับ SI และผู้ผลิตหุ่นยนต์

เมื่อพูดถึง Robosta Cafe’ ภาพที่ปรากฎขึ้นมาอาจดูใกล้เคียงกับโรงงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ซึ่งอาจจะห่างไกลจากการรับรู้ของบุคคลทั่วไป แต่ถ้าเรามองให้ใกล้ตัวขึ้นมาอีกนิดจะพบว่าทุกวันนี้หลายคนอาจใช้งานระบบอัตโนมัติอยู่แล้วก็เป็นได้

ไม่ต้องมองไปไหนไกล ขอยกตัวอย่าง Xiaomi ที่ขายของครบวงจรตั้งแต่ของใช้ สมาร์ทโฟน กล้องวงจรปิดไร้สาย ไปจนถึงเครื่องฟอกอากาศซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้รองรับการเชื่อมต่อผ่านแอปพลิเคชันเพื่อควบคุมการทำงาน หรือเครื่องปรับอากาศสมัยใหม่ที่สามารถเชื่อมต่อและสั่งการผ่านอินเทอร์เน็ต รวมไปถึงการตั้งเวลาการทำงานล่วงหน้าต่าง ๆ ของระบบส่องสว่างภายในอาคาร หรือจะเป็นหุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่มีให้เห็นกันตั้งแต่ราคาหลักพันต้น ๆ ไปจนถึงหลักหลายหมื่น ล้วนแต่เป็นการใช้งานระบบอัตโนมัติที่ใกล้ตัวและเกิดขึ้นแล้วในชีวิตประจำวัน

ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าอุปกรณ์ที่ใช้งานกันอยู่ในปัจจุบันนั้นเป็นการเพิ่มเติมฟังก์ชันการควบคุมผ่านแพลตฟอร์มอนไลน์ การตั้งค่าการทำงานล่วงหน้า เป็นการใช้ประโยชน์จาก IoT ที่ประยุกต์เข้าไปในผลิตภัณฑ์เดิม ๆ แต่สามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างใหญ่หลวงเมื่อมองไปยังภาพใหญ่ที่รวมศักยภาพของทุกอุปกรณ์เข้าด้วยกัน แตกต่างจาก Robosta Cafe’ ซึ่งเป็นการประยุกต์ใช้งานผลิตภัณฑ์จากกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็นแขนกล ระบบสายพาน ฐานยกแบบไฮดรอลิกต่าง ๆ ซึ่งไม่ใช่อุปกรณ์ที่พบเจอได้ในชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่ ความแตกต่างสำคัญสำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ในบ้านและอุปกรณ์ในโรงงานอุตสาหกรรม คือ ศักยภาพและความซับซ้อนในการใช้งาน เนื่องจากการใช้งานภายในสภาพแวดล้อมโรงงานที่มีความเสี่ยงสูง อุปกรณ์จึงต้องมีความทนทานอย่างมาก และการทำงานต่าง ๆ ล้วนต้องการความแม่นยำสูง เพื่อลดความสูญเปล่าในการทำงาน ตลอดจนความสำคัญด้านความปลอดภัย ในขณะที่อุปกรณ์อัตโนมัติที่ใช้ในชีวิตประจำวันหรือที่อยู่อาศัยนั้นเน้นความสะดวกสบายเป็นหลักและไม่ต้องการความแม่นยำในระดับที่เทียบเท่าการทำงานในโรงงานซึ่งมีความเสี่ยงสูงกว่ามาก

สำหรับการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในธุรกิจเชิงพาณิชย์ต่าง ๆ อาจเรียกได้ว่าเป็นการพบกันครึ่งทางระหว่างการอำนวยความสะดวกแบบการใช้งานในครัวเรือนกับการลดความสูญเปล่าอันเข้มข้นในกิจการอุตสาหกรรม ซึ่งการดึงเอาคุณสมบัติสำคัญในการทำงานออกมาจำเป็นต้องได้รับการออกแบบและบูรณาการระบบอย่างใกล้ชิด นับเป็นขั้นตอนที่มีความละเอียดอ่อนสูงกว่าการใช้งานในครัวเรือนอย่างมาก SI จึงต้องรับหน้าที่การออกแบบระบบที่รองรับการใช้งานจากผู้คนจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ประสบการณ์การใช้งานไปจนถึงความสม่ำเสมอของระบบ ทำให้ตลาดด้านการบริการเชิงพาณิชย์สำหรับประชากรกลุ่มใหญ่เป็นอีกหนึ่งตลาดที่เหล่า SI สามารถเข้ามามีบทบาทและมีส่วนร่วมได้

สำหรับเทคโนโลยีอัตโนมัติที่กำลังเกิดขึ้นหรือเปิดใช้งานในบางพื้นที่กลายเป็นโอกาสใหม่ เช่น การขับขี่อัตโนมัติที่ค่ายรถดังอย่าง Tesla นำมาใช้ หรือเทคโนโลยี AI สนับสนุนสำหรับการผ่าตัด ระบบเหล่านี้ยังคงเป็นโอกาสใหม่ที่มีผู้คนเข้าถึงได้น้อย เมื่อผนวกรวมกับความต้องการจำเพาะเจาะจงของสิ่งแวดล้อมและชาติพันธุ์ในพื้นที่ต่าง ๆ การพัฒนาระบบอัตโนมัติที่มีความสอดคล้องกับท้องถิ่นหรือพื้นที่การใช้งานกลายเป็นจุดแข็งสำหรับ SI ในพื้นที่มากกว่าการนำเข้าระบบจากต่างประเทศ ยกตัวอย่างเช่น การทำระบบอัตโนมัติสำหรับการขับขี่ในประเทศอินเดียที่มีลักษณะการจราจรที่วุ่นวายและคับคั่ง หรือการใช้หุ่นยนต์ปรุงอาหารในประเทศกลุ่มตะวันออกที่มีลักษณะแตกต่างจากการบูรณาการระบบสำหรับอาหาร Fast Food ในสหรัฐอเมริกา 

การใช้ระบบอัตโนมัติที่มีความละเอียดอ่อนสูงหลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องไกลตัวและเป็นไปไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจเป็นเพียงขนาดตลาดยังไม่ใหญ่พอเท่านั้น ยกตัวอย่างช่วงเวลาที่รถยนต์คันแรกถือกำเนิดขึ้นท่ามกลางยุคขี่ม้าลากเกวียนที่ใครต่อใครอาจมองว่าเป็นไปไม่ได้และไม่มีความจำเป็น แต่ในท้ายที่สุดประชากรส่วนมากก็พร้อมที่จะมีโรงรถมากกว่าคอกม้าในแต่ละบ้าน การบูรณาการระบบอัตโนมัติสำหรับ Lifestyle ก็ไม่แตกต่างกัน แต่อาจเป็นเรื่องที่ง่ายดายกว่าเนื่องจากเป็นการใช้งานเทคโนโลยีอยู่แล้วให้เกิดความเหมาะสมและคุ้มค่ากับเม็ดเงินลงทุน แตกต่างจากการสร้างสิ่งใหม่หรือสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนที่มีความยากลำบากมากกว่า

สิ่งที่แตกต่างออกไปจากการบูรณาการระบบเพื่อรองรับผู้คน คือ ความสะดวกสบายและการเชื่อมต่อกับประสบการณ์เดิมที่มีอยู่ เช่น การออกแบบให้รองรับการทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟนจากสองค่ายใหญ่อย่าง Apple และ Android หรือ ระบบการจ่ายเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่มาพร้อมกับระบบ Royalty อาทิ แต้มสะสมเป็นต้น การมองไปยังผู้คนและประสบการณ์การใช้งานภายใต้แนวคิดด้านการตลาดที่ชัดเจนจึงเป็นส่วนสำคัญสำหรับบทบาท SI ในโอกาสใหม่นี้

ในกรณีของ Robosta Cafe’ เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดจากการทำงานของ SI ที่สามารถสร้างโมเดลธุรกิจที่สามารถใช้งานได้จริง มีแนวทางที่ชัดเจนตั้งแต่การพัฒนา การต่อยอดไปจนถึงธุรกิจในอนาคตที่พร้อมจะปรับเปลี่ยนตามความต้องการของตลาด มั่นใจได้ว่านี่คือคลื่นลูกใหม่ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับตลาดของ SI ที่ต้องจับตามอง

ภายใต้ภาวะความไม่แน่นอนของมนุษย์ที่เพิ่มมากขึ้นอ่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ความไม่คงที่ในการทำงาน การขาดแคลนแรงงาน การขาดแคลนทักษะ อุบัติเหตุ ไปจนถึงการปนเปื้อนและติดเชื้อไวรัส ทำให้บทบาทของระบบอัตโนมัติชัดเจนยิ่งขึ้นในปัจจุบัน ความต้องการอุปกรณ์หรือเครื่องมือที่มีความแน่นอนในการทำงานกลายเป็นสิ่งที่นักลงทุนและเจ้าของกิจการต่างให้ความสนใจ การที่ SI ก้าวออกมาพัฒนาเทคโนโลยีที่สนับสนุนภาคธุรกิจเชิงพาณิงชย์ที่เข้าถึงได้อย่าง เช่น Robosta Cafe’ หรือ Lifestyle Automation จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่กำลังเกิดขึ้น และผู้ที่สามารถทำให้ตลาดที่กำลังรอคอยศักยภาพเหล่านี้อยู่เกิดการยอมรับได้จะกลายเป็นผู้นำของการเปลี่ยนแปลงได้ในทันที

บทความที่น่าสนใจ:
EEC Automation Park ส่งต่ออนาคตสู่ผู้ประกอบการและประเทศไทยในวันพรุ่งนี้
Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
logo-company
Thossathip Soonsarthorn
"Judge a man by his questions rather than his answers" Voltaire