การเลือกใช้อุปกรณ์ควบคุมในระบบ SCADA (Supervisory Control and Data Acquisition) เป็นการตัดสินใจที่สำคัญซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพและความเชื่อถือได้ของระบบทั้งหมด อุปกรณ์หลักสองประเภทที่มักใช้ในการควบคุมระยะไกลคือ Remote Terminal Unit (RTU) และ Programmable Logic Controller (PLC) ซึ่งแต่ละประเภทมีจุดแข็งและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน การศึกษาเปรียบเทียบทั้งสองอุปกรณ์นี้จะช่วยให้วิศวกรและผู้ปฏิบัติงานสามารถเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะของแต่ละโครงการ โดยคำนึงถึงปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม ค่าใช้จ่าย ความซับซ้อนของการติดตั้ง และความต้องการด้านการสื่อสาร
ภาพรวมและหลักการทำงานของ RTU
Remote Terminal Unit หรือ RTU เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ไมโครโปรเซสเซอร์ซึ่งออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการใช้งานในระบบควบคุมอุตสาหกรรม (Industrial Control System, ICS) อุปกรณ์นี้ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างฮาร์ดแวร์ภาคสนามกับระบบควบคุมแบบกระจาย (Distributed Control System, DCS) หรือระบบตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ (SCADA) RTU ถือว่าเป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่มีส่วนประกอบพื้นฐานครบถ้วน ได้แก่ โปรเซสเซอร์ หน่วยความจำ และหน่วยเก็บข้อมูล ทำให้สามารถทำงานเป็นตัวควบคุมอัจฉริยะหรือระบบควบคุมระยะไกลของอุปกรณ์สื่อสารในสถานีย่อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความสามารถหลักของ RTU อยู่ที่การตรวจสอบและรวบรวมข้อมูลจากฟิลด์ทั้งในรูปแบบแอนะล็อกและดิจิทัล จากนั้นจึงส่งข้อมูลเซ็นเซอร์จากอินพุตสตรีมในลูปควบคุมไปยังเอาต์พุตสตรีมเพื่อส่งต่อไปยังส่วนควบคุมกลางหรือระบบหลักใน ICS ในระบบ SCADA RTU ทำหน้าที่รับ-ส่งคำสั่งต่างๆ จาก Master Station เพื่อควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ และรายงานสถานะการทำงานของอุปกรณ์ รวมทั้งส่งข้อมูลค่าวัดทางไฟฟ้าไปให้ Master Station ฮาร์ดแวร์ของ RTU ประกอบด้วยซอฟต์แวร์การตั้งค่าที่จำเป็นในการเชื่อมต่อเอาต์พุตสตรีมของข้อมูล โปรโตคอลในการสื่อสาร และการแก้ไขปัญหาในตัว (Built-In Troubleshooting)
การออกแบบของ RTU มุ่งเน้นไปที่การใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย อุปกรณ์เหล่านี้มักใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ AC แต่มีตัวแปลงไฟเป็นไฟฟ้ากระแสตรง DC และแบตเตอรี่สำรอง เพื่อรับประกันการทำงานอย่างต่อเนื่องแม้ในสถานการณ์ที่มีปัญหาเรื่องไฟฟ้า[1] RTU สามารถจัดการกับอินพุตแบบไม่ต่อเนื่อง (Discrete Input) ซึ่งเป็นการตรวจสอบขั้นพื้นฐานที่สุดในรูปแบบเปิดหรือปิด และมักถูกเรียกว่าพอยต์หรือจุดอินพุต สัญญาณเตือน การปิดหน้าสัมผัส หรือแบบไม่ต่อเนื่องหรือแยก
ภาพรวมและลักษณะเฉพาะของ PLC
Programmable Logic Controller หรือ PLC เป็นอุปกรณ์ควบคุมที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อทดแทนระบบควบคุมแบบเดิมที่ใช้รีเลย์และการเดินสายไฟที่ซับซ้อน PLC ออกแบบมาเพื่อใช้งานในสภาพแวดล้อมอุตสาหกรรมและสามารถตั้งโปรแกรมได้ตามความต้องการเฉพาะของแต่ละกระบวนการผลิต อุปกรณ์นี้มีความสามารถในการประมวลผลแบบเรียลไทม์และสามารถควบคุมกระบวนการอัตโนมัติที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ PLC มักใช้ในการควบคุมเครื่องจักรในสายการผลิต ระบบลำเลียง และกระบวนการผลิตต่างๆ ที่ต้องการการตอบสนองอย่างรวดเร็วและแม่นยำ
หลักการทำงานของ PLC อยู่บนพื้นฐานของการสแกนแบบวนรอบ (Scan Cycle) ที่ประกอบด้วยการอ่านข้อมูลจากอินพุต การประมวลผลโปรแกรมลอจิก และการส่งผลลัพธ์ไปยังเอาต์พุต กระบวนการนี้ทำซ้ำอย่างต่อเนื่องด้วยความเร็วสูง ทำให้ PLC สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในระบบได้อย่างรวดเร็ว การตั้งโปรแกรม PLC ทำได้หลายวิธี เช่น Ladder Logic, Function Block Diagram, และ Structured Text ซึ่งช่วยให้วิศวกรสามารถพัฒนาโซลูชันที่เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะได้ PLC ยังมีความยืดหยุ่นในการขยายระบบผ่านโมดูลเสริมต่างๆ เช่น โมดูลอินพุต-เอาต์พุตเพิ่มเติม โมดูลสื่อสาร และโมดูลพิเศษสำหรับการประยุกต์ใช้เฉพาะทาง
ในบริบทของระบบ SCADA PLC มักถูกใช้เป็นอุปกรณ์ควบคุมในระดับท้องถิ่น (Local Control) ที่สามารถทำงานได้อย่างอิสระแม้ไม่มีการเชื่อมต่อกับระบบส่วนกลาง ความสามารถนี้ทำให้ PLC เหมาะสำหรับการใช้งานในสถานที่ที่ต้องการการควบคุมที่รวดเร็วและเชื่อถือได้ แม้ว่าการเชื่อมต่อกับระบบ SCADA อาจมีปัญหาชั่วคราว PLC ยังมีความสามารถในการเก็บบันทึกข้อมูลและสามารถทำงานตามโปรแกรมที่กำหนดไว้ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ
การเปรียบเทียบด้านเทคนิคและสมรรถนะ
ความสามารถด้านการสื่อสาร
RTU มีความโดดเด่นในด้านความสามารถในการสื่อสารที่ยอดเยี่ยมเมื่อเปรียบเทียบกับ PLC การออกแบบของ RTU มุ่งเน้นไปที่การสื่อสารระยะไกลและการรวบรวมข้อมูลจากหลายจุดในพื้นที่กว้าง RTU สามารถสื่อสารผ่านโปรโตคอลหลากหลายรูปแบบ เช่น DNP3, Modbus, IEC 61850 และโปรโตคอลที่กำหนดเองของผู้ผลิต การสื่อสารสามารถทำได้ผ่านสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสายทองแดง ใยแก้วนำแสง วิทยุความถี่ หรือเครือข่ายเซลลูลาร์ ความยืดหยุ่นนี้ทำให้ RTU เหมาะสมสำหรับการใช้งานในระบบที่กระจายตัวอย่างกว้างขวาง เช่น ระบบจ่ายไฟฟ้า ระบบจ่ายน้ำ และระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ
ในขณะที่ PLC แม้จะมีความสามารถในการสื่อสารที่ดี แต่มักถูกออกแบบมาสำหรับการสื่อสารในระยะใกล้และในสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมมากกว่า เช่น ภายในโรงงานหรือสถานีผลิต PLC มักใช้โปรโตคอลอุตสาหกรรมมาตรฐาน เช่น Ethernet/IP, Profinet, หรือ DeviceNet สำหรับการสื่อสารกับอุปกรณ์อื่นๆ ในระบบ แม้ว่า PLC สมัยใหม่จะมีความสามารถในการสื่อสารระยะไกลผ่านอินเทอร์เน็ตหรือเครือข่าย WAN แต่การกำหนดค่าและการจัดการมักซับซ้อนกว่า RTU
ความทนทานต่อสภาพแวดล้อม
RTU มีข้อได้เปรียบที่ชัดเจนในด้านความเหมาะสมสำหรับสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิและความชื้นที่รุนแรงกว่า การออกแบบของ RTU คำนึงถึงการใช้งานกลางแจ้งและในสถานที่ห่างไกลที่อาจไม่มีการควบคุมสภาพแวดล้อม RTU มักมีคุณสมบัติกันน้ำและกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP (Ingress Protection) ในระดับสูง และสามารถทำงานได้ในช่วงอุณหภูมิที่กว้าง ตั้งแต่อุณหภูมิติดลบในฤดูหนาวจนถึงอุณหภูมิสูงในพื้นที่ทะเลทราย นอกจากนี้ RTU ยังได้รับการออกแบบให้ทนทานต่อสภาวะที่เลวร้าย เช่น การสั่นสะเทือน การกระแทก และการรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า
PLC แม้จะมีความทนทานในสภาพแวดล้อมอุตสาหกรรม แต่มักถูกออกแบบมาสำหรับการติดตั้งภายในตู้ควบคุมหรือในสภาพแวดล้อมที่มีการปกป้อง การใช้งาน PLC กลางแจ้งมักต้องมีการป้องกันเพิ่มเติม เช่น ตู้ควบคุมที่มีระบบปรับอากาศ หรือเครื่องทำความร้อนในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิต่ำ ความแตกต่างนี้ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและบำรุงรักษาอย่างมาก โดยเฉพาะในโครงการที่มีจุดติดตั้งจำนวนมากและกระจายตัวในพื้นที่กว้าง
ฟังก์ชันการคำนวณและการประมวลผล
RTU มีฟังก์ชันการคำนวณที่มากกว่า PLC ในด้านการประมวลผลข้อมูลเพื่อการสื่อสารและการจัดการข้อมูล RTU มักมีความสามารถในการประมวลผลอัลกอริทึมที่ซับซ้อนสำหรับการวิเคราะห์คุณภาพไฟฟ้า การคำนวณค่าสถิติ และการประมวลผลสัญญาณดิจิทัล RTU สามารถทำการคำนวณค่าเฉลี่ย ค่าสูงสุด ค่าต่ำสุด และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของข้อมูลที่รวบรวมได้ นอกจากนี้ RTU ยังมีความสามารถในการประมวลผลข้อมูลประวัติศาสตร์และสามารถสร้างรายงานสถิติต่างๆ ได้โดยอัตโนมัติ
ในด้านการประมวลผลแบบเรียลไทม์ PLC มักมีความเร็วในการตอบสนองที่เหนือกว่า RTU เนื่องจากการออกแบบที่เน้นการควบคุมแบบ deterministic ที่สามารถคาดการณ์เวลาการตอบสนองได้อย่างแม่นยำ PLC เหมาะสำหรับการควบคุมกระบวนการที่ต้องการความเร็วสูงและความแม่นยำในการจับเวลา เช่น การควบคุมเครื่องจักรที่มีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หรือการประสานงานระหว่างอุปกรณ์หลายตัวในสายการผลิต อย่างไรก็ตาม ใน PLC สมัยใหม่ ความสามารถในการคำนวณได้ถูกพัฒนาขึ้นอย่างมาก และสามารถทำการประมวลผลที่ซับซ้อนได้เช่นกัน
การใช้งานที่เหมาะสมในแต่ละบริบท
การประยุกต์ใช้ RTU
RTU เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานในระบบที่มีลักษณะการกระจายตัวในพื้นที่กว้าง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสาธารณูปโภค เช่น ระบบจ่ายไฟฟ้าที่ RTU ใช้ในการตรวจสอบและควบคุมหม้อแปลง สวิตช์ และอุปกรณ์ป้องกันในสถานีไฟฟ้าย่อยต่างๆ ในระบบจ่ายน้ำ RTU สามารถติดตั้งที่แหล่งน้ำ สถานีสูบน้ำ และถังเก็บน้ำเพื่อตรวจสอบระดับน้ำ ความดัน และคุณภาพน้ำ นอกจากนี้ ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี RTU ใช้ในการตรวจสอบท่อส่งก๊าซธรรมชาติและน้ำมันที่ทอดยาวหลายกิโลเมตร ที่สามารถตรวจจับการรั่วไหล การเปลี่ยนแปลงความดัน และสภาพการทำงานของปั๊มและวาล์วต่างๆ
การใช้งาน RTU ในโครงการที่ต้องการการตรวจสอบพารามิเตอร์สิ่งแวดล้อม เช่น สถานีตรวจสอบคุณภาพอากาศ สถานีอุตุนิยมวิทยา และระบบเตือนภัยน้ำท่วม เป็นตัวอย่างที่ดีของการประยุกต์ใช้ที่เหมาะสม RTU สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานโดยไม่ต้องมีการบำรุงรักษาบ่อยครั้ง และสามารถส่งข้อมูลไปยังศูนย์ควบคุมกลางผ่านเครือข่ายสื่อสารต่างๆ ได้อย่างเชื่อถือได้ ความสามารถในการทำงานด้วยพลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์หรือแบตเตอรี่ทำให้ RTU เหมาะสำหรับการติดตั้งในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีระบบไฟฟ้า
การประยุกต์ใช้ PLC
PLC เหมาะสมสำหรับการใช้งานในระบบที่ต้องการการควบคุมแบบเรียลไทม์ที่แม่นยำและรวดเร็ว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการผลิตที่มีเครื่องจักรและกระบวนการที่ซับซ้อน ตัวอย่างเช่น ในสายการผลิตยานยนต์ PLC ใช้ในการควบคุมหุ่นยนต์เชื่อม ระบบลำเลียง และเครื่องจักรประกอบชิ้นส่วนต่างๆ ที่ต้องการการประสานงานที่แม่นยำระหว่างอุปกรณ์หลายตัว ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม PLC ควบคุมกระบวนการผสมส่วนผสม การควบคุมอุณหภูมิ และการบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการความเร็วและความถูกต้องสูง
การใช้งาน PLC ในระบบ HVAC (Heating, Ventilation, and Air Conditioning) ของอาคารขนาดใหญ่ เช่น โรงพยาบาล ศูนย์การค้า และสำนักงาน เป็นอีกตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความเหมาะสม PLC สามารถควบคุมการทำงานของระบบปรับอากาศ ระบบระบายอากาศ และระบบทำความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถปรับการทำงานตามความต้องการของผู้ใช้งานและเงื่อนไขสิ่งแวดล้อมได้แบบเรียลไทม์ ในอุตสาหกรรมเคมี PLC ใช้ในการควบคุมเครื่องปฏิกรณ์ ระบบกลั่น และกระบวนการแยกสารที่ต้องการการควบคุมอุณหภูมิ ความดัน และการไหลของสารเคมีอย่างแม่นยำ
การรวมการใช้งาน RTU และ PLC
ในระบบ SCADA ขนาดใหญ่และซับซ้อน การใช้งาน RTU และ PLC ร่วมกันมักให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดย PLC ทำหน้าที่ควบคุมกระบวนการในระดับท้องถิ่นที่ต้องการความเร็วและความแม่นยำสูง ในขณะที่ RTU ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลจาก PLC หลายตัวและส่งไปยังศูนย์ควบคุมกลาง ตัวอย่างเช่น ในโรงไฟฟ้า PLC อาจใช้ควบคุมเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ระบบหล่อเลี้ยงน้ำ และระบบปกป้อง ในขณะที่ RTU รวบรวมข้อมูลจาก PLC เหล่านี้และส่งไปยังศูนย์ควบคุมการผลิตไฟฟ้า การแบ่งหน้าที่ในลักษณะนี้ช่วยให้ได้ประโยชน์จากจุดแข็งของแต่ละอุปกรณ์และลดข้อจำกัดของแต่ละประเภท
การพิจารณาด้านเศรษฐศาสตร์และการบำรุงรักษา
ต้นทุนการลงทุนและการติดตั้ง
ในด้านต้นทุนการลงทุนเริ่มต้น RTU มักมีราคาสูงกว่า PLC ในระดับฟังก์ชันเทียบเท่า เนื่องจากความซับซ้อนของการออกแบบเพื่อรองรับการสื่อสารหลากหลายรูปแบบและความทนทานในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาต้นทุนรวมของโครงการที่ต้องการการกระจายตัวในพื้นที่กว้าง RTU อาจให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเนื่องจากไม่ต้องการการป้องกันสภาพแวดล้อมเพิ่มเติม การใช้สายสัญญาณระยะไกลที่น้อยกว่า และความต้องการในการบำรุงรักษาที่ลดลง ในขณะที่ PLC มักมีต้นทุนการซื้อที่ต่ำกว่า แต่อาจต้องการการลงทุนเพิ่มเติมในด้านระบบป้องกันสภาพแวดล้อม ระบบไฟฟ้าสำรอง และการเดินสายสัญญาณ
การติดตั้งและกำหนดค่า RTU มักต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน โดยเฉพาะในด้านการกำหนดโปรโตคอลสื่อสารและการรวมเข้ากับระบบ SCADA ที่มีอยู่ ในขณะที่ PLC มักมีเครื่องมือในการตั้งโปรแกรมที่เป็นมิตรกับผู้ใช้มากกว่า และมีวิศวกรที่มีประสบการณ์ในการใช้งานมากกว่า ปัจจัยนี้ส่งผลต่อต้นทุนในการฝึกอบรมบุคลากรและระยะเวลาในการพัฒนาโครงการ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างนี้กำลังลดลงเนื่องจากเครื่องมือในการพัฒนาระบบ RTU ได้รับการปรับปรุงให้ใช้งานง่ายขึ้น
ต้นทุนการบำรุงรักษาและวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์
RTU มักมีวงจรชีวิตการใช้งานที่ยาวนานกว่า PLC เนื่องจากการออกแบบที่มุ่งเน้นความทนทานและการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย ระยะเวลาการใช้งานของ RTU มักอยู่ในช่วง 15-20 ปี ในขณะที่ PLC มักมีวงจรชีวิตประมาณ 10-15 ปี ความแตกต่างนี้ส่งผลต่อต้นทุนรวมของการเป็นเจ้าของ (Total Cost of Ownership) อย่างมาก โดยเฉพาะในโครงการที่มีจุดติดตั้งจำนวนมาก การบำรุงรักษา RTU มักทำได้จากระยะไกลผ่านระบบสื่อสาร ลดความจำเป็นในการเดินทางไปยังจุดติดตั้งเพื่อการตรวจสอบและซ่อมแซม
ด้านการหาอะไหล่และการสนับสนุนทางเทคนิค PLC มักมีความได้เปรียบเนื่องจากความนิยมที่แพร่หลายและจำนวนผู้ผลิตที่มากกว่า อะไหล่ของ PLC มักหาได้ง่ายกว่าและมีราคาที่แข่งขันได้มากกว่า ในขณะที่ RTU อาจต้องพึ่งพาผู้ผลิตเฉพาะรายมากกว่า อย่างไรก็ตาม การพัฒนาระบบการวินิจฉัยและการซ่อมแซมจากระยะไกลของ RTU ช่วยลดปัญหานี้ได้มาก นอกจากนี้ ผู้ผลิต RTU มักให้การสนับสนุนทางเทคนิคที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมากกว่า เนื่องจากความซับซ้อนของผลิตภัณฑ์และการประยุกต์ใช้งานที่เฉพาะเจาะจง
แนวโน้มอนาคตและเทคโนโลยีใหม่
การพัฒนาด้านเทคโนโลยี Internet of Things (IoT)
การพัฒนาเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) กำลังส่งผลกระทบอย่างมากต่อทั้ง RTU และ PLC โดยทั้งสองประเภทอุปกรณ์กำลังถูกพัฒนาให้มีความสามารถในการเชื่อมต่อกับระบบคลาวด์และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ RTU สมัยใหม่เริ่มมีความสามารถในการประมวลผลข้อมูลที่จุดรวบรวม (Edge Computing) ลดความจำเป็นในการส่งข้อมูลดิบทั้งหมดไปยังศูนย์ควบคุมกลาง การพัฒนานี้ช่วยลดการใช้ แบนด์วิธ(Bandwidth) ของระบบสื่อสารและเพิ่มความเร็วในการตอบสนอง ในขณะเดียวกัน PLC ก็มีการพัฒนาความสามารถในการเชื่อมต่อกับระบบ IoT และการวิเคราะห์ข้อมูลแบบ Big Data ทำให้ขอบเขตการใช้งานของทั้งสองอุปกรณ์เริ่มทับซ้อนกันมากขึ้น
การพัฒนาเทคโนโลยี 5G และเครือข่ายสื่อสารความเร็วสูงกำลังเปิดโอกาสใหม่ๆ สำหรับทั้ง RTU และ PLC โดยเฉพาะในด้านการสื่อสารแบบเรียลไทม์และการควบคุมจากระยะไกล เทคโนโลยีนี้อาจทำให้ความแตกต่างระหว่าง RTU และ PLC ในด้านความสามารถด้านการสื่อสารลดลง และเปิดโอกาสให้มีการประยุกต์ใช้งานแบบใหม่ที่ผสมผสานจุดแข็งของทั้งสองอุปกรณ์ การพัฒนาเทคโนโลยี Artificial Intelligence และ Machine Learning ยังเปิดโอกาสให้ทั้ง RTU และ PLC สามารถทำการวิเคราะห์และตัดสินใจได้อย่างอัจฉริยะมากขึ้น
ความปลอดภัยทางไซเบอร์และมาตรฐานใหม่
ความกังวลด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์กำลังกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกใช้ RTU หรือ PLC ในระบบ SCADA การพัฒนามาตรฐานความปลอดภัยใหม่ๆ เช่น IEC 62443 กำลังผลักดันให้ผู้ผลิตทั้งสองประเภทต้องพัฒนาระบบป้องกันที่แข็งแกร่งขึ้น RTU ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายสื่อสารสาธารณะมักมีความเสี่ยงสูงกว่า PLC ที่ทำงานในเครือข่ายท้องถิ่นที่มีการป้องกัน อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเทคโนโลยีการเข้ารหัสและการยืนยันตัวตนสำหรับ RTU กำลังช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้ การอัปเดตระบบรักษาความปลอดภัยสำหรับอุปกรณ์ที่กระจายตัวอย่าง RTU ยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับ PLC ที่สามารถอัปเดตได้ง่ายกว่าในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้
การเลือกใช้ระหว่าง RTU และ PLC ในระบบ SCADA ขึ้นอยู่กับความต้องการเฉพาะของแต่ละโครงการและการชั่งน้ำหนักระหว่างปัจจัยต่างๆ ที่หลากหลาย RTU มีจุดแข็งในด้านความสามารถด้านการสื่อสารที่ยอดเยี่ยม ความทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรง และฟังก์ชันการคำนวณที่ครอบคลุมสำหรับการประยุกต์ใช้ในระบบที่กระจายตัวในพื้นที่กว้าง ในขณะที่ PLC โดดเด่นในด้านความเร็วในการตอบสนองแบบเรียลไทม์ ความยืดหยุ่นในการตั้งโปรแกรม และต้นทุนที่แข่งขันได้สำหรับการประยุกต์ใช้ในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้
สำหรับโครงการที่ต้องการการตรวจสอบและควบคุมระยะไกลในพื้นที่กว้าง เช่น ระบบจ่ายไฟฟ้า ระบบจ่ายน้ำ และระบบตรวจสอบสิ่งแวดล้อม RTU เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่าเนื่องจากความสามารถในการทำงานในสภาพแวดล้อมที่ท้าทายและการสื่อสารระยะไกลที่เชื่อถือได้[2] ในทางตรงกันข้าม สำหรับการประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตที่ต้องการการควบคุมแบบเรียลไทม์ที่แม่นยำและรวดเร็ว PLC เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า
แนวโน้มในอนาคตชี้ให้เห็นว่าความแตกต่างระหว่าง RTU และ PLC กำลังลดลงเนื่องจากการพัฒนาเทคโนโลยีและการรวมเทคโนโลยี IoT การตัดสินใจเลือกใช้อุปกรณ์ควรพิจารณาจากความต้องการเฉพาะของโครงการ งบประมาณ สภาพแวดล้อมการติดตั้ง และความเชี่ยวชาญของทีมงาน การใช้งานร่วมกันระหว่าง RTU และ PLC ในระบบเดียวกันยังเป็นแนวทางที่น่าสนใจที่ช่วยให้ได้ประโยชน์จากจุดแข็งของทั้งสองอุปกรณ์ ในขณะที่ลดข้อจำกัดของแต่ละประเภท
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- https://flutech.co.th/what-is-a-rtu-or-remote-telemetry-unit/
- https://www.sea.co.th/index.php/2014-02-19-09-12-02/scada
- https://th.wirelessmartsystems.com/info/read-the-difference-between-dtu-ftu-ttu–and-71224697.html
บทความที่น่าสนใจ
- SCADA คืออะไร? เข้าใจง่ายใน 3 นาที แบบไม่ต้องเป็นวิศวกร (อัปเดตปี 2025)
- รู้จัก RPA ให้ลึกซึ้ง เมื่องานซ้ำซากไม่จำเป็นต้องใช้คนทำอีกต่อไป
- Machine Vision ดวงตาอัจฉริยะในโรงงานอุตสาหกรรม
- ถอดประสบการณ์ผู้ผลิตแบรนด์ดังทำไมล้มเหลวในการทำ Digital Transformation และการใช้งานระบบอัตโนมัติในโรงงาน
- บทบาทของ OT Security และ WMS ในการยกระดับอุตสาหกรรมไทย