VEGA Instrument
Zero Trust คือ

Zero Trust Security หลักการความปลอดภัย ด้วยการยืนยันตัวตน

Date Post
18.06.2025
Post Views

ในโลกที่การเชื่อมต่อเป็นหัวใจหลักของทุกกิจกรรมทางธุรกิจ ความปลอดภัยไซเบอร์จึงกลายเป็นเรื่องที่องค์กรทุกระดับต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การละเลยเรื่องความปลอดภัยแม้เพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่ความเสียหายทั้งด้านการเงิน ชื่อเสียง และความเชื่อมั่นจากลูกค้า

ความจำเป็นของการตรวจสอบความปลอดภัยการใช้งานทางไซเบอร์

ภัยคุกคามทางไซเบอร์มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและซับซ้อนมากขึ้นทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีด้วยมัลแวร์ การหลอกลวงแบบฟิชชิง (Phishing) การปลอมแปลงตัวตน (Spoofing) หรือการเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้แต่การใช้งานผ่านอุปกรณ์พกพาและการทำงานจากระยะไกล ก็ล้วนเพิ่มช่องโหว่ให้กับระบบขององค์กร ดังนั้นการตรวจสอบตัวตนผู้ใช้ การจำกัดสิทธิ์ในการเข้าถึง และการเฝ้าระวังพฤติกรรมการใช้งานจึงเป็นมาตรการพื้นฐานที่ต้องมี เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนที่เข้าถึงระบบขององค์กรได้รับอนุญาต และไม่เป็นภัยต่อข้อมูลและระบบ ด้วยเหตุนี้แนวคิด Zero Trust จึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อรับมือกับความท้าทายด้านความปลอดภัยในยุคที่ระบบเครือข่ายไม่ได้จำกัดแค่ภายในองค์กรอีกต่อไป

ทำความรู้จักหลักการ Zero Trust Security คืออะไร?

Zero Trust Security คือ แนวคิดด้านความปลอดภัยที่ตั้งอยู่บนหลักการว่า “อย่าไว้ใจใครโดยอัตโนมัติ” (Never Trust, Always Verify) หมายถึง ไม่ว่าผู้ใช้งานจะอยู่ในหรือนอกเครือข่ายขององค์กร ระบบจะไม่ให้สิทธิ์เข้าถึงทรัพยากรใด ๆ โดยอัตโนมัติ จนกว่าจะมีการยืนยันตัวตน ตรวจสอบสถานะของอุปกรณ์ และบริบทการใช้งานอย่างรัดกุม Zero trust คือ แนวคิดที่เปลี่ยนวิธีคิดของการรักษาความปลอดภัยจากการปกป้องจากภายนอก (Perimeter Security) ไปสู่การตรวจสอบทุกองค์ประกอบในระบบอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ ระบบ แอปพลิเคชัน หรืออุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับระบบ หลักการของ Zero Trust Security มีหัวใจหลัก 3 ประการ คือ

  • ตรวจสอบตัวตนทุกครั้งก่อนอนุญาตเข้าถึง (Verify Explicitly)
  • ให้สิทธิ์เท่าที่จำเป็นต่อหน้าที่ (Least Privilege Access)
  • สมมติว่าระบบอาจถูกเจาะแล้วเสมอ (Assume Breach)

นอกจากนี้ zero trust ยังเน้นการทำงานร่วมกับเทคโนโลยีอื่น ๆ เช่น Identity & Access Management (IAM), Endpoint Detection and Response (EDR), Data Loss Prevention (DLP), และระบบ Threat Intelligence เพื่อสร้างความปลอดภัยเชิงรุกในทุกมิติ

ประโยชน์หรือการทำงานขั้นพื้นฐานของระบบนี้

ระบบ Zero Trust มีการทำงานที่อิงกับแนวทาง “ไม่เชื่อใครโดยอัตโนมัติ” ซึ่งจะมีขั้นตอนสำคัญ ดังนี้

  • การตรวจสอบตัวตนแบบหลายขั้นตอน (Multi-Factor Authentication) – ผู้ใช้งานต้องยืนยันตัวตนมากกว่าหนึ่งช่องทาง เช่น รหัสผ่าน + OTP หรือไบโอเมตริกซ์ ซึ่งช่วยป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้ผู้ไม่หวังดีจะรู้รหัสผ่านก็ตาม
  • การอนุญาตตามสิทธิ์ขั้นต่ำ (Least Privilege Access) – ผู้ใช้งานจะได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงเฉพาะสิ่งที่จำเป็นสำหรับบทบาทหน้าที่ของตนเท่านั้น ลดความเสี่ยงหากบัญชีผู้ใช้งานถูกละเมิดหรือถูกใช้ในทางไม่เหมาะสม
  • การตรวจสอบอุปกรณ์และบริบท (Device & Context Awareness) – ระบบจะตรวจสอบสถานะของอุปกรณ์ เช่น ความปลอดภัยของระบบปฏิบัติการ ความเป็นปัจจุบันของซอฟต์แวร์ ตำแหน่งที่ตั้ง และเวลาการใช้งาน หากพบความผิดปกติ เช่น พยายามล็อกอินจากประเทศที่ไม่เคยใช้งานมาก่อน ระบบอาจปฏิเสธการเข้าถึงหรือแจ้งเตือนผู้ดูแลระบบทันที
  • การติดตามและวิเคราะห์พฤติกรรมแบบเรียลไทม์ (Behavioral Analytics) – ระบบ Zero Trust จะบันทึกและวิเคราะห์การใช้งานตลอดเวลา เช่น พฤติกรรมการเข้าถึงไฟล์ การใช้งานแอปพลิเคชัน หรือรูปแบบการทำงาน หากตรวจพบพฤติกรรมที่ผิดแปลกจากปกติ ระบบสามารถแจ้งเตือน หรือบล็อกการเข้าถึงได้โดยอัตโนมัติ
  • การแบ่งโซนในเครือข่าย (Network Segmentation) – การแบ่งเครือข่ายออกเป็นโซนย่อย ๆ ทำให้หากเกิดการเจาะระบบในจุดใดจุดหนึ่ง ความเสียหายจะถูกจำกัดไม่ให้ลุกลามไปยังส่วนอื่นของระบบ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการออกแบบ zero trust security architecture ประโยชน์หลักของ Zero Trust ได้แก่
    • ลดความเสี่ยงจากการถูกโจมตีภายในและภายนอก
    • ป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต
    • ปรับปรุงการปฏิบัติตามข้อกำหนด (Compliance)
    • เพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าและคู่ค้าในเรื่องความปลอดภัยของระบบ

วิธีการนำ Zero Trust ไปใช้งานกับองค์กรหรือธุรกิจ

การปรับใช้แนวคิด Zero Trust ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงระบบทั้งหมดในทันที แต่สามารถเริ่มจากจุดเล็ก ๆ และขยายออกไปอย่างต่อเนื่อง โดยขั้นตอนหลักมีดังนี้

  • ประเมินความเสี่ยงและทรัพยากรสำคัญ – องค์กรควรเริ่มจากการประเมินว่า ข้อมูลใดหรือระบบใดเป็นทรัพยากรที่ต้องปกป้องมากที่สุด เช่น ข้อมูลลูกค้า ฐานข้อมูลทางบัญชี หรือระบบควบคุมภายใน และทำความเข้าใจว่าภัยคุกคามใดบ้างที่อาจเกิดขึ้น
  • จัดการสิทธิ์ผู้ใช้งานอย่างเหมาะสม – กำหนดนโยบายสิทธิ์ในการเข้าถึง (Access Control Policy) ให้เหมาะสมกับแต่ละตำแหน่งงาน และตรวจสอบความจำเป็นในการเข้าถึงทรัพยากร เพื่อไม่ให้เกิดสิทธิ์เกินความจำเป็นซึ่งอาจกลายเป็นจุดอ่อนของระบบ
  • ใช้เทคโนโลยี Multi-Factor Authentication – การยืนยันตัวตนแบบหลายชั้นเป็นหัวใจของ zero trust security ที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยเฉพาะเมื่อมีการใช้งานจากระยะไกลหรือจากอุปกรณ์ภายนอก
  • บริหารจัดการอุปกรณ์ (Device Management) – องค์กรควรมีระบบในการตรวจสอบและควบคุมอุปกรณ์ที่เข้าถึงระบบ เช่น ตรวจสอบว่าเครื่องมีระบบป้องกันไวรัสหรือไม่ มีการอัปเดตแพตช์ล่าสุดหรือยัง และสามารถลบข้อมูลจากระยะไกลได้หากอุปกรณ์สูญหาย
  • ติดตามและรายงานความเสี่ยงแบบต่อเนื่อง – ใช้ระบบที่สามารถวิเคราะห์และติดตามเหตุการณ์ความปลอดภัยแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ทีม IT สามารถระบุภัยคุกคามได้รวดเร็วและตอบสนองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • วางแผนการตอบสนองเมื่อเกิดเหตุ (Incident Response Plan) – แม้จะมีระบบที่ดี ก็ยังต้องมีแผนการรับมือหากเกิดเหตุ เช่น การปิดระบบชั่วคราว การแจ้งเตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการฟื้นฟูระบบให้กลับมาเร็วที่สุด
  • สื่อสารและสร้างวัฒนธรรมด้านความปลอดภัย – การอบรมพนักงานให้เข้าใจในแนวคิด zero trust คืออีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ การปลูกฝังวัฒนธรรมด้าน cybersecurity ในองค์กรจะช่วยลดโอกาสการเกิดเหตุจากความผิดพลาดของมนุษย์

สรุป

ในยุคที่ข้อมูลกลายเป็นหัวใจของธุรกิจ การรักษาความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งที่องค์กรละเลยไม่ได้ และ Zero Trust คือกรอบแนวคิดที่จะช่วยให้องค์กรสามารถปกป้องทรัพยากรของตนได้อย่างรัดกุมและเป็นระบบ การเริ่มต้นนำ zero trust ไปใช้ อาจไม่จำเป็นต้องพลิกระบบทั้งหมดในทันที แต่สามารถค่อย ๆ ปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกใช้เทคโนโลยีและกระบวนการที่เหมาะสมร่วมกับการสร้างวัฒนธรรมด้านความปลอดภัยในองค์กร จะช่วยให้ zero trust เป็นมากกว่าแค่โซลูชัน แต่กลายเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล

Logo-Company
Logo-Company
Logo-Company
Super Source-E-market place สำหรับสินค้าอุตสาหกรรม