สมาคมผู้ผลิตยานยนต์ยุโรป (ACEA) เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์โดยรวมในยุโรป ได้แก่ สหภาพยุโรป (EU) สหราชอาณาจักร (UK) และกลุ่มสมาคมการค้าเสรียุโรป (EFTA) ลดลง 0.3% ในเดือน เม.ย. เมื่อเทียบรายปี แตะที่ 1.07 ล้านคัน หลังจากเติบโต 2.8% ในเดือนก่อนหน้า
เมื่อพิจารณายอดขายเฉพาะใน EU (ไม่รวม UK และ EFTA) พบว่ายอดขายยานยนต์รวมลดลง 1.2% เมื่อเทียบรายปี นับเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 แต่หากพิจารณาในส่วนของยอดจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) เติบโต 26.4%, ยานยนต์ไฮบริด (HEV) เติบโต 20.8% และยานยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) เติบโต 7.8%
ยานยนต์กลุ่มพลังงานไฟฟ้า (BEV, HEV, PHEV) ที่จำหน่ายใน EU คิดเป็นสัดส่วน 59.2% ของยอดจดทะเบียนยานยนต์นั่งทั้งหมดในเดือน เม.ย. เพิ่มขึ้นจาก 47.7% ในปีก่อนหน้า
แต่ในกรณีของ Tesla ในยุโรปนั้นแตกต่างออกไป พบว่ายอดขายทรุดลงถึง 49% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายปี ถือเป็นการลดลงเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน ทำให้ส่วนแบ่งตลาดรวมหดเหลือเพียง 0.7% จาก 1.3% ในปีที่แล้ว
ยอดขายของ Tesla ที่ดิ่งลงต่อเนื่องในยุโรปสะท้อนให้เห็นว่า แม้จะมีการอัปเกรด Model Y แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถกอบกู้ภาพลักษณ์ที่เสื่อมถอยลงจากสายตาของผู้บริโภคในภูมิภาคนี้ได้ นอกจากนี้ Tesla ยังต้องเผชิญกับการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าจากจีนในภูมิภาคเดียวกัน รวมถึงกระแสต่อต้านมุมมองทางการเมืองของ Elon Musk ทำให้ผู้บริโภคเริ่มหันหลังให้กับแบรนด์ที่เคยจุดกระแส EV โลกมาก่อน
สำหรับสถานการณ์ยานยนต์ในยุโรปพบว่ามียอดจดทะเบียนของเอสเอไอซี มอเตอร์ (SAIC Motor) ค่ายรถยนต์รัฐวิสาหกิจจีน เติบโต 24.5% และมิตซูบิชิ (Mitsubishi) โต 22.1% ส่วนมาสด้า (Mazda) ลดลง 24.5%
โดยตลาดใหญ่ใน EU นั้น สเปนและอิตาลีมียอดจดทะเบียนรถในเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 7.1% และ 2.7% ตามลำดับ ส่วนฝรั่งเศสและเยอรมนีลดลง 5.6% และ 0.2% ตามลำดับ ขณะที่ UK ลดลง 10.4%
ด้วยความท้าทายในปัจจุบัน ทำให้ยานยนต์จากยุโรปกำลังพยายามลดต้นทุนในบ้านเกิดและรับมือการแข่งขัน ท่ามกลางแรงกดดันจากกำแพงภาษีนำเข้ารถยนต์ของสหรัฐฯ และภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนให้แนวโน้มอุตสาหกรรม แม้ความตึงเครียดทางการค้าสหรัฐฯ-จีนจะเบาบางลง
แม้ตลาดยุโรปจะสนใจยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นจากเป้าหมายลดมลพิษและมี EV รุ่นราคาถูกลง แต่ภาพรวมอุตสาหกรรมยังเผชิญความท้าทายจากนโยบาย EV ทั่วโลกท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้า ตลาดชะลอตัว และความเสี่ยงเรื่องการปิดโรงงานหรือลดพนักงาน
ที่มาข่าว:
infoquest