โรงงานอัจฉริยะ หรือ Smart Factory นั้นอาจดูห่างไกลกับผู้ประกอบการไทย และอาจยังไม่มั่นใจว่าจะเริ่มต้นหรือมีผลลัพธ์ที่สร้างการเติบโตได้อย่างไร แต่เชื่อหรือไม่ว่าโรงงานที่มีการติดตามข้อมูลแบบ Real-Time นั้นสามารถเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมได้ถึง 12% และลดระยะเวลา Down Time ลง 15% เมื่อมีการบูรณาการระบบเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพ (ข้อมูลจาก Deloitte) นั่นทำให้การเริ่มต้นเข้าสู่ Smart Factory หรือการทำ Digital Transformation สำหรับโรงงานต้องเริ่มต้นจากโครงสร้างพื้นฐานด้านการเชื่อมต่อ (Connect) เพื่อให้ใช้ศักยภาพการประมวลผล (Compute) ของเครื่องจักรและระบบนิเวศอัจฉริยะได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในบทความนี้จะมีตัวอย่างกรณีการใช้งานที่น่าสนใจจาก AIS Business ที่เกิดขึ้นจริงด้วยเช่นกัน
เมื่อการติดตามข้อมูลอย่างต่อเนื่องของ Smart Factory เพิ่มประสิทธิภาพได้มากถึง 30%
ทำไม Smart Factory ต้องมีการใช้ดิจิทัล? ทำไมต้องติดตามข้อมูลตลอด? คำตอบที่ง่ายที่สุด คือ ผลลัพธ์ที่ทำให้ธุรกิจสามารถแข่งขันและเติบโตแบบจับต้องได้ วางแผนได้ และรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรียกว่าทำธุรกิจโดยที่ไม่ต้องกังวลกับปัญหาภายในโรงงาน ด้วยการใช้ประโยชน์จากการบูรณาการข้อมูลกิจกรรมที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างเต็มประสิทธิภาพ
โดยข้อมูลจาก McKinsey & Company ชี้ให้เห็นว่าผู้ผลิตที่มีการบูรณาการเทคโนโลยี IoT (Internet of Things) หรือ IIoT (Industrial Internet of Things) เพื่อติดตามข้อมูลของเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องนั้นมีประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้นมากถึง 30%
ผลลัพธ์ที่เกิดจากการติดตามข้อมูลได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และทันต่อการใช้งานนั้น ทำให้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้แบบ Real-Time และยังทำให้สามารถคาดการณ์สถานการณ์ต่าง ๆ ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ ส่งผลให้การวางแผนทั้งการขาย การผลิต และซัพพลายเชนเกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืน เทคโนโลยีซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับเชื่อมต่อเครือข่ายข้อมูลจึงเป็นฐานที่สำคัญอย่างมากต้องมีการออกแบบและวางแผนการใช้งานเครือข่ายด้านข้อมูลดิจิทัลอย่างเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อข้อมูลผ่านสายเคเบิลอย่าง Leased Line หรือการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง 5G ซึ่งมีความยืดหยุ่นสูงก็ตาม
คำถามยอดฮิตสำหรับ Smart Factory เดินสายแบบ Leased Line หรือไร้สายแบบ 5G ดีกว่ากัน?
ไม่ว่าจะอินเทอร์เน็ต หรืออินทราเน็ต ต่างก็ต้องการการเชื่อมต่อที่เหมาะสม ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีสำหรับการเชื่อมต่อแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ แบบเดินสายข้อมูลเชื่อมแต่ละอุปกรณ์เข้าด้วยกัน กับรูปแบบการเชื่อมต่อแบบไร้สาย ซึ่งการเชื่อมต่อทั้ง 2 แบบนี้มีเทคโนโลยีและ Protocol ต่าง ๆ ให้เลือกใช้อีกมากมาย อาทิ Broadband, Lan, Wi-Fi, Bluetooth, NFC หรือ 5G เป็นต้น ซึ่งการเชื่อมต่อของ Leased Line และ 5G Private Network ต่างก็เป็นการใช้เครือข่ายแบบ Dedicated Network ที่เหมาะสำหรับการผลิตทั้ง 2 เทคโนโลยี
Leased Line การเชื่อมต่อที่เสถียรและไว้ใจได้มากที่สุด
ถ้าหากพิจารณาแต่ภายนอก Leased Line นั้นจะเป็นเหมือนการเดินสายเคเบิลเพื่อเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบโครงข่ายต่าง ๆ เหมือนอินเทอร์เน็ตบ้านที่เราเรียกกันว่า Broadband แต่รายละเอียดภายในและคุณสมบัตินั้นกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ยกตัวอย่างเช่น Broadband โดยมากมักจะมีความเร็วการ Download ที่มากกว่า Upload แต่ Leased จะมีความเร็วที่เท่ากัน โดยจุดเด่นของ Leased Line ได้แก่
ความเร็วในการ Download และ Upload ที่เท่ากัน
การที่ Leased Line นั้นมีความสามารถในการ Upload และ Download ที่เท่ากันนั้นสำคัญอย่างมากในการใช้งานสำหรับ Smart Factory เพราะอัตราการรับส่งข้อมูลที่เท่ากันนั้นทำให้ไม่เกิดปัญหาคอขวด และลดโอกาสการเกิดความหน่วง (Latency) ได้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีการสื่อสารระดับเสี้ยววินาที
การใช้งานแบบ Dedicated โดยไม่ต้องแบ่งทรัพยากรการเชื่อมต่อกับผู้ใช้รายอื่น
Leased Line นั้นเป็นการเชื่อมต่อข้อมูลผ่านสายแบบ Dedicated ที่ถูกจำกัดการใช้งานไว้เฉพาะธุรกิจหนึ่ง ๆ เท่านั้น โดยจะเป็นการแบ่งช่องสัญญาณในสายสัญญาณในการเชื่อมต่อให้กับเฉพาะธุรกิจ จึงไม่จำเป็นต้องแบ่งปันทรัพยากรร่วมกับผู้ใช้รายอื่น ๆ แล้วเกิดปัญหาความหน่วงขึ้น
เชื่อมต่อแบบ Point to Point
การเชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตทั่วไปมักจะต้องแบ่ง Node และมีการกระจายสัญญาณไปตามผู้ใช้ต่าง ๆ แต่ในกรณีของ Leased Line จะเป็นการเชื่อมต่อโดยตรงระหว่างโรงงานหรือธุรกิจไปยังผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) โดยไม่ต้องผ่าน Node ต่าง ๆ ก่อนที่จะไปถึง Server ของผู้ให้บริการแบบอินเทอร์เน็ต Broadband ทั่วไป ทำให้ทั้งปลอดภัยและมีความเร็วในการใช้งานในระดับสูง
มี Reliability สูงที่สุดในการเชื่อมต่อเครือข่าย
ด้วยคุณสมบัติต่าง ๆ รวมทั้งรูปแบบการเชื่อมต่อแบบกายภาพที่ไม่สามารถถูกแทรกแซงได้ ทำให้ระบบเครือข่ายสามารถออนไลน์ใช้งานได้ 24/7 ทั้งยังมีความเพียรในการใช้งานสูง เหมาะที่จะเป็นระบบหลักในการใช้งานกับโรงงาน และเหมาะสมที่จะทำเป็นระบบสำรองเผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉินต่าง ๆ อีกด้วย
จุดเด่นของเทคโนโลยี Leased Line นั้นเริ่มต้นมาจากการที่ถูกพัฒนามาอย่างยาวนาน ทำให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีและระบบนิเวศต่าง ๆ ในระดับสูง มีตัวเลือกในการใช้งานและมีองค์ความรู้อยู่มากมาย โดยจุดเด่นในการใช้งาน คือ ความมั่นใจและความเสถียรในการใช้งาน ซึ่งรูปแบบของ Leased Line เองก็มีให้เลือกใช้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Fiber, Digital Subscriber Line (DSL) และ Multi-Protocol Label Switching (MPLS)
5G Private Network ที่สุดของความยืดหยุ่นและความคล่องตัวด้านเครือข่าย
เทคโนโลยี 5G ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่มีความยืดหยุ่นสูงที่สุดเมื่อต้องนำมาใช้งานในการผลิตสมัยใหม่ เพราะมีความหน่วงของการเชื่อมต่อไร้สายที่ต่ำมาก ครอบคลุมพื้นที่การใช้งานในวงกว้าง สามารถรองรับการเชื่อมต่อจากอุปกรณ์ได้จำนวนมากพร้อมกัน และยังสามารถทำ Network Slicing เพื่อจัดสรรการใช้งานทรัพยากรให้เหมาะสมได้มากที่สุดอีกด้วย
แล้ว 5G Private Network คืออะไร? 5G Private Network นั้นเป็นบริการใช้งาน 5G ที่แยกช่องสัญญาณและเครือข่ายของธุรกิจหรือโรงงานออกมาจาก 5G ทั่วไป โดยมีหลากหลายรูปแบบความเป็นส่วนตัวให้เลือก แม้แต่แบบ Dedicated 100% ซึ่งอาจมีการวางเสาสัญญาณโดยเฉพาะสำหรับธุรกิจหรือโรงงานนั้น ๆ ที่มีความต้องการใช้งานด้วยก็ได้
เก็บรักษาความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยในการเชื่อมต่อไร้สายได้ในระดับสูงสุด
ด้วยความที่เป็นเครือข่ายตระกูล Private ทำให้การใช้งานเครือข่ายนั้นแยกออกมาเป็นส่วนตัว ความปลอดภัยในการใช้งานจึงอยู่ในระดับสูง ด้วยความสามารถในการสอดส่องและควบคุมแบบเต็มระบบ ไม่จำเป็นต้องใช้งานการเชื่อมต่อร่วมกับองค์กรหรือผู้ใช้อื่น ๆ
สามารถปรับแต่งใช้งานความถี่และควบคุมเครือข่ายได้อย่างสมบูรณ์
เครือข่าย 5G Private Network นั้นสามารถปรับแต่งและใช้ประโยชน์จากช่วง Spectrum ได้หลากหลายเพื่อให้สามารถเลือกช่วงความถี่เหมาะสมกับความต้องการการใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นช่วงความถี่ในระดับใด รวมถึงการปรับแต่งคุณสมบัติด้านเครือข่ายอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ 5G Private Network ยังเปิดโอกาสให้ธุรกิจสามารถบริหารจัดการรวมถึงปรับแต่งคุณสมบัติอื่น ๆ ของเครือข่ายได้อย่างเต็มรูปแบบ เกิดการ Optimize ทรัพยากรในระบบได้อย่างเต็มประสิทธิภาพสำหรับแอปพลิเคชันต่าง ๆ ในโรงงานได้อย่างเหมาะสม
ตอบสนองต่อแอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพด้วย MEC ส่วนตัว
อีกประการหนึ่งที่ทำให้ 5G นั้นแตกต่างจากการเชื่อมต่อไร้สายอื่น ๆ คือ ความสามารถในการติดตั้งทรัพยากรเพื่อสนับสนุนการทำงานในเครือข่ายได้ เช่น MEC (Multi-Access Edge Computing) การวางหน่วยประมวลผลไว้ที่เครือข่ายที่อยู่ใกล้กับผู้ใช้งาน ทำให้สามารถเพิ่มความเร็วในการประมวลผลได้อย่างมาก ช่วยให้การรับส่งข้อมูลกับแอปพลิเคชันที่ต้องการการรับ-ส่งข้อมูลที่รวดเร็วในโรงงานรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นอีก
Leased Line + 5G Private Network คำตอบสุดท้ายของโครงสร้างพื้นฐาน Smart Factory ยุคใหม่
จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีทั้ง Leased Line และ 5G Private Network นั้นมีจุดเด่นของตัวเอง การที่จะใช้ 5G Private Network แบบเต็มศักยภาพ (เช่น Dedicated Private Network ของ AIS Business) อาจจะเหมาะกับโรงงานขนาดใหญ่และมีอุปกรณ์จำนวนมาก ในขณะที่ Leased Line เหมาะกับโรงงานที่มีการปรับเปลี่ยนน้อยหรือในส่วนของสำนักงาน ด้วยการนำจุดเด่นของทั้ง 2 เทคโนโลยีทั้ง Leased Line และ 5G Private Network มารวมกันและปรับใช้เฉพาะในส่วนที่เหมาะสม จะเป็นตัวเลือกที่ทำได้ทั้งโรงงานขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ เป็นการบูรณาการร่วมกันที่ทำให้เกิดความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพสูงสุด
ยกระดับประสิทธิภาพและความปลอดภัยโรงงานผ่านการผสานเทคโนโลยี Leased Line ร่วมกับ 5G Private Network
ในโรงงานการผลิตและ Smart Factory นั้นประกอบไปด้วยเทคโนโลยีและกิจกรรมหลากหลายมากมาย ทั้งการเคลื่อนย้ายชิ้นงาน สายการผลิต คลังสินค้า งานซ่อมบำรุง ห้องมอนิเตอร์ ระบบบำบัดของเสีย การบริหารจัดการด้านพลังงาน ฯลฯ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ล้วนมีความต้องการและเงื่อนไขในการใช้งานแตกต่างกันออกไป ซึ่ง AIS Business ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านโซลูชัน IT และโครงสร้างพื้นฐานด้านการเชื่อมต่อข้อมูล พร้อมสนับสนุนแนวทางการใช้งานและการบูรณาการเทคโนโลยีเหล่านี้ พร้อมพันธมิตรที่เป็นตัวจริงในภาคการผลิตอย่างใกล้ชิด
ภายใต้แนวคิด Connect & Compute ของ AIS Business ในปีนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดในการใช้งานทั้ง 2 เทคโนโลยีร่วมกันได้อย่างน่าสนใจ ด้วยการนำจุดเด่นของแต่ละเทคโนโลยีมาใช้ร่วมกันเพื่อเสริมสร้างศักยภาพการประมวลผลผ่านการเชื่อมต่อ โดยมีจุดเด่นที่เกิดขึ้นร่วมกัน ดังนี้
- Backbone & EDGE: การผสานเทคโนโลยี Leased Line ให้กลายเป็นโครงข่ายหลักในการเชื่อมต่อข้อมูลของธุรกิจ ไม่ว่าจะสำนักงาน คลังสินค้า หรือสายการผลิต ในขณะที่ใช้เทคโนโลยี 5G Private Network เพื่อเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันที่มีความต้องการจำเพาะ เช่น การใช้งานหุ่นยนต์, AI เพื่อตรวจสอบชิ้นงาน รวมถึงความจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรอื่น ๆ ผ่านเครือข่าย เช่น การประมวลผล EDGE เป็นต้น
- Redundancy & Failover: เสริมแกร่งความปลอดภัย และสร้างระบบสำรองด้วยการทำ Backup Link เพื่อให้มั่นใจได้ว่ากระบวนการต่าง ๆ จะไม่เกิดการสะดุด หรือหยุดชะงัก เมื่อเครือข่ายรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งมีปัญหา ทำให้ทำงานได้อย่างต่อเนื่อง
- Flexibility & Adaptability: เพิ่มความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับทั้งโซลูชันใหม่ ๆ ด้วยการแบ่งรูปแบบงานออกเป็นงานที่ต้องการความคล่องตัว และงานที่ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพเป็นสำคัญ ซึ่งความยืดหยุ่นนี้ทำให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน
จะเห็นได้ว่า Leased Line เหมาะแก่การใช้งานในส่วนของการเชื่อมต่อข้อมูลที่ต้องการความต่อเนื่อง ในขณะที่ 5G Private Network เหมาะกับการใช้งานกับอุปกรณ์ที่ต้องมีการเคลื่อนที่ หรือไม่สะดวกต่อการเดินสายข้อมูล รวมถึงการใช้งานในพื้นที่ภายนอกอาคาร ทำให้การเชื่อมต่อต่าง ๆ เกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องข้อจำกัดของรูปแบบและพื้นที่การใช้งาน
AIS Business ได้แบ่งรูปแบบของ 5G Private Network ออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ Virtual Private Network, Zoning Virtual Private Network และ Dedicated Private Network ผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มได้ที่ AIS 5G Private Network
แนวทางการบูรณาการ Leased Line และ 5G Private Network สำหรับ Smart Factory จาก AIS Business
ภายใต้ข้อจำกัดและจุดเด่นที่แตกต่างกันของทั้งเทคโนโลยี Leased Line และ 5G Private Network จะทำอย่างไรให้สามารถตอบสนองต่อเงื่อนไขการแข่งขันของธุรกิจการผลิตยุคใหม่ได้อย่างลงตัว AIS Business ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ จึงได้นำเสนอแนวคิดเอาไว้ ดังนี้
Leased Line ใช้งานกับอุปกรณ์สำรองข้อมูลและเครื่องจักรที่อยู่กับที่
สำหรับอุปกรณ์ขนาดใหญ่อย่างเครื่องจักร CNC หรือแขนกลขนาดใหญ่ที่ไม่ต้องเคลื่อนที่หรือย้ายไปไหนนั้น AIS Business แนะนำว่าการใช้งาน Leased Line สามารถทำได้อย่างไม่ต้องกังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีความแม่นยำสูง ต้องการความเสถียรในการใช้งาน รวมถึงอุปกรณ์ในสำนักงานอีกด้วย
5G เพื่อความยืดหยุ่นในการใช้งานและการเคลื่อนที่
สำหรับเครื่องจักรที่ต้องมีการเคลื่อนที่ไปมา ไม่ว่าจะเป็นเคลื่อนที่ระยะไกล หรือเคลื่อนที่บ่อย ๆ แต่ระยะไม่มาก เช่น โรงงานแบบเปิด ที่ต้องมีการขนย้ายไปมาระหว่างอาคารหรือระหว่างคลังสินค้า ซึ่งเทคโนโลยี 5G สามารถทำงานได้โดยไร้รอยต่อสำหรับเครื่องจักรที่ต้องเคลื่อนที่ไปมา หรืออุปกรณ์ขนาดเล็กที่เข้าถึงยากไม่สามารถเดินสายได้
เติมเต็มศักยภาพ Smart Factory ด้วย SD-WAN และ Smart IoT จาก AIS Business
ด้วยความเชี่ยวชาญของ AIS Business และพันธมิตรในด้านต่าง ๆ ทำให้เกิดเป็นโซลูชันที่จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความรวดเร็วในการทำ Digital Transformation สำหรับโรงงานที่ต้องการก้าวเข้าสู่การเป็น Smart Factory ผ่าน Ecosystem ที่ครบวงจร และแอปพลิเคชันที่เหมาะกับภาคการผลิตอีกมากมาย อาทิ
AIS SD-WAN: บริหารจัดการเครือข่ายด้วย Software-Defined Networking (SDN) ไม่ว่าจะเป็นระบบหลักหรือระบบรอง ทั้งยังรองรับการใช้งานเทคโนโลยี 5G ทำให้เกิดความคล่องตัวในการแข่งขันผ่านการบริหารจัดการแบบ One Stop Network Management โดยไม่ทิ้งในเรื่องของความปลอดภัยในการเชื่อมต่อไว้ให้กังวลใจ
NB-IoT & eMTC: รองรับการเชื่อมต่อไร้สายสำหรับอุปกรณ์ใช้พลังงานต่ำผ่านเครือข่าย Cellular Broadband ที่มีประสิทธิภาพสูงและเครือข่ายระบบสาย เช่น Fiber Optics
ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีด้านเครือข่ายที่หลากหลาย ทั้ง 5G, 4G LTE, 3G, eMTC และ NB-IoT รวมถึงแพลตฟอร์มอย่าง AIS Paragon Platform และ MEC ที่จะช่วยลดต้นทุน เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับการผลิตยุคใหม่ได้อย่างแตกต่าง
วางรากฐานระบบเครือข่ายโรงงานและ Smart Factory ด้วยโซลูชันครบวงจรจาก AIS Business
หากโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้งานโครงสร้างพื้นฐานด้านเครือข่าย หรือต้องการทำ Transformation สู่ Smart Factory และต้องการที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญ AIS Business ได้พัฒนาโซลูชันสำหรับระบบเครือข่ายข้อมูลแบบครบวงจร ทั้ง Leased Line และ 5G ที่มาพร้อมกับบริการที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเพิ่มความคล่องตัว และเอาชนะความท้าทายได้อย่างครบมิติ ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มต่าง ๆ บริการเสริมที่ถูกออกแบบมาจากความท้าทายของผู้ประกอบการ ไปจนถึงทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญในด้านระบบเครือข่าย IT รวมถึงพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี OT อีกมากมาย
มั่นใจได้ว่าการทำ Digital Transformation ของโรงงานที่เกิดขึ้นจะครบมิติความท้าทายที่ต้องเผชิญด้วยต้นทุนที่คุ้มค่า การบริการที่รู้จริง และประสิทธิภาพที่สร้างความแตกต่างได้อย่างชัดเจนในการแข่งขัน ไม่ต้องกังวลเรื่องการขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงความยุ่งยากซับซ้อนในการบริหารจัดการและแก้ไขสถานการณ์อีกต่อไป นึกถึงบริการด้านโครงสร้างพื้นฐาน IT และเครือข่ายข้อมูลสำหรับโรงงาน นึกถึง AIS Business
สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชันด้านโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลสำหรับ
Smart Factory จาก AIS Business สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
https://www.ais.th/business/enterprise