ปัจจุบันเราทุกคนต่างหวาดระแวงกับภัยคุกคามในโลกไซเบอร์ เราใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อน ติดตั้งแอปป้องกันไวรัส และเปิดใช้การยืนยันตัวตนสองขั้นตอนอย่างเคร่งครัด เราระมัดระวังแม้กระทั่งการกด “ยอมรับคุกกี้” บนเว็บไซต์ กังวลว่า AI จะจดจำใบหน้า จับน้ำเสียง หรือเรียนรู้พฤติกรรมการบริโภคของเราได้อย่างแม่นยำเกินไป
แต่น่าแปลกในขณะที่เราปิดกล้องก่อนเริ่มประชุมออนไลน์และตั้งค่าความเป็นส่วนตัวในโซเชียลมีเดียอย่างละเอียดลอเรากลับละเลยช่องโหว่ ที่ใกล้ตัวที่สุดอย่างไม่น่าเชื่อ นั่นคือ กล่องพัสดุหน้าบ้านของเราเอง
เมื่อความเป็นส่วนตัวถูกพิมพ์อยู่บนกระดาษลัง
การสั่งของออนไลน์กลายเป็นกิจวัตรที่แทบจะแทรกซึมในทุกช่วงชีวิตของคนเมือง ไม่ว่าจะเป็นของใช้ประจำวัน เสื้อผ้า อาหารเสริม หรือของขวัญที่สั่งให้ตัวเองในวันที่เหนื่อยล้า ทุกครั้งที่มีพัสดุมาส่ง กล่องกระดาษหรือซองพัสดุนั้นมักจะมาพร้อมฉลาก ที่แสดงชื่อ-นามสกุล หมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่ และเลข Tracking อย่างครบถ้วน
สิ่งเหล่านี้คือ ข้อมูลจริง ที่สามารถตรวจสอบยืนยันได้ ไม่ใช่ชื่อเล่นที่ใช้สมัครอีเมลหรือข้อมูลปลอมบนฟอร์มออนไลน์ แต่มันคือ หลักฐานทางกายภาพว่าคุณมีตัวตนอยู่ ณ ที่แห่งนั้น และเคยสั่งซื้อของจากร้านค้าหรือแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่ง
ที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อของด้านในถูกนำไปใช้เรียบร้อยแล้ว กล่องพัสดุก็จะถูกโยนทิ้งไปโดยไม่ไตร่ตรอง ฉลากที่ยังคงติดแน่นอยู่อาจหลุดรอดสายตาไปสู่มือของใครก็ได้ไม่ว่าจะเป็นคนเก็บขยะ เด็กแว้นที่ขับมอเตอร์ไซผ่าน หรือแม้แต่กลุ่มมิจฉาชีพที่มองข้อมูลทุกอย่างเป็นต้นทุน
ช่องโหว่ของโลกจริง ในวันที่โลกเสมือนแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน
ในโลกออนไลน์ เรามีมาตรการมากมายเพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่าง PDPA หรือ GDPR การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวใน Facebook หรือแม้แต่ฟีเจอร์ Privacy Sandbox ของเบราว์เซอร์สมัยใหม่
แต่ในโลกออฟไลน์ เรากลับขาดความตระหนักเช่นเดียวกัน การที่กล่องพัสดุที่มีข้อมูลส่วนตัวถูกทิ้งอย่างไร้การจัดการ กำลังกลายเป็นรูรั่ว ของความเป็นส่วนตัวที่ยังไม่มีใครพูดถึงอย่างจริงจัง
กล่องธรรมดา ที่กลายเป็นแหล่งข้อมูลมหาศาล
อย่ามองกล่องพัสดุว่าเป็นแค่กระดาษลังธรรมดา ถ้ามองในมุมของคนที่เข้าใจการใช้ข้อมูล มันเปรียบได้ดั่ง Data Set ขนาดเล็กที่มีศักยภาพมหาศาล รหัสติดตามสินค้าสามารถบอกได้ว่าคุณใช้แพลตฟอร์มใด ที่อยู่สามารถช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อในเชิงพื้นที่ได้ และหากมีเบอร์โทรศัพท์หรืออีเมลระบุไว้ นั่นคือช่องทางติดต่อที่สามารถนำไปใช้ในการขายตรง ยิงโฆษณา หรือแม้แต่หลอกลวงทางโทรศัพท์ นี่คือข้อมูลที่แม่นยำจนแม้แต่ Data Online ยังต้องอาย เพราะมันไม่ต้องคาดเดาแต่มันคือ ข้อเท็จจริงที่พร้อมใช้งานc
แล้วข้อมูลเหล่านี้ไปจบลงที่ไหน?
คำตอบที่น่ากลัวคือ “เราไม่รู้ครับ” กล่องพัสดุอาจถูกโยนรวมกับกล่องอื่น ๆ ขายต่อให้โรงงานรีไซเคิล หรือถูกแยกฉลากไปใช้ในทางที่คุณไม่เคยคาดคิด และคุณไม่สามารถกดยกเลิกความยินยอม หรือ Unsubscribe ได้เหมือนในอีเมล เพราะคุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่า คุณได้ถูกเปิดเผยข้อมูลนั้นไปแล้ว
วิธีป้องกันข้อมูล (Data) ตัวเองจากภัยที่มองไม่เห็น
วิธีป้องกันนั้นง่ายมากจนไม่น่าเชื่อ แต่คนส่วนใหญ่ยังไม่เคยทำ คือ การฉีกฉลากทุกครั้งก่อนทิ้ง หรือใช้ปากกาดำขีดฆ่าชื่อ ที่อยู่ และข้อมูลอื่น ๆ ให้เลือน หากเป็นซองพลาสติก ให้แช่น้ำแล้วขยำเพื่อทำลายหมึก และแยกฉลากเก็บไว้ในถุงขยะเฉพาะ หรือทำลายด้วยเครื่องทำลายเอกสารถ้ามี สิ่งเหล่านี้อาจดูจุกจิก แต่ก็ไม่ต่างอะไรจากการปิดกล้องเวลาไม่ใช้งาน หรือการตั้งรหัสผ่านให้ซับซ้อน ความเป็นส่วนตัวไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่เฉพาะในโลกดิจิทัล มันแทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวัน ผ่านวัตถุที่เรามองข้าม เช่น กล่องพัสดุที่เราทิ้งไว้หน้าบ้าน ในวันที่เรากังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยบนหน้าจอ ลองย้อนมามองที่ ข้อมูลในโลกจริงที่กำลังหลุดรั่วอย่างเงียบงัน
Paper Security อาจฟังดูโบราณ แต่ในโลกที่ข้อมูลคือทรัพย์สินที่มีมูลค่า อย่าปล่อยให้ใครขุดข้อมูลของคุณจากขยะ เพราะบางครั้ง การรั่วของข้อมูล ไม่ได้เกิดจากระบบที่ซับซ้อน แต่มาจากกล่องกระดาษที่คุณเพิ่งโยนลงถัง โดยไม่รู้ตัว