Friday, April 26Modern Manufacturing
×

Tata steel ร่วมมือ Ford เปลี่ยนเป็น Green steel ในการผลิตรถยนต์

Tata steel ร่วมมือ Ford เปลี่ยนเป็น Green steel ในการผลิตรถยนต์

Tata steel ได้มีการร่วมเซ็นสัญญากับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ Ford เพื่อส่งมอบ Zeremis green steel เหล็กที่ผลิตด้วยการใช้กรีนไฮโดรเจนแทนถ่านหินให้ Ford ใช้ในการผลิตรถยนต์

ทำให้ Ford กลายเป็นลูกค้ารายแรกของ Tata steel ที่มุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนมาใช้เหล็กกล้าสีเขียว ที่มีความยั่งยืนกว่าและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าการผลิตเหล็กแบบทั่วไปในปัจจุบัน

Tata steel ร่วมมือ Ford เปลี่ยนเป็น Green steel ในการผลิตรถยนต์

Ford เปลี่ยนเข้าสู่เหล็กที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ด้วยเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนภายในปี 2035 และการวางแผนผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ภายในปี 2023 ทำให้ Ford จำเป็นต้องมองหาการใช้เหล็กที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพราะในการผลิตรถยนต์แต่ละคันนั้น ส่วนประกอบกว่าครึ่งหนึ่งของรถยนต์ก็มาจากเหล็กหลายสิบชนิดที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันไปทั้งขนาด น้ำหนัก หรือความสามารถในการขึ้นรูป

ทำให้ Zeremis carbon lite หรือเหล็กกล้าสีเขียวของ Tata steel กลายมาเป็นกุญแจหลักของ Ford ในการปรับปรุง Supply chain ของตัวเองและนับเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้ Ford สามารถลดการปล่อยคาร์บอนในการผลิตรถยนต์ของตนเองลงได้

Tata steel ร่วมมือ Ford เปลี่ยนเป็น Green steel ในการผลิตรถยนต์
ที่มาภาพ : Tata Steel

Tata steel ช่วยลดต้นทุนผู้ผลิต เดินหน้าพัฒนาเหล็กอย่างต่อเนื่อง

นอกจากหัวใจสำคัญในการลดการปล่อยคาร์บอนแล้ว กว่า 10 ปีที่ผ่านมานั้นทาง Tata steel ยังได้เล็งพัฒนาเหล็กที่มีคุณสมบัติต่าง ๆ เช่น เหล็กที่มีน้ำหนักที่เบาลงแต่ไม่ลดความปลอดภัยไป หรือเหล็กที่ต้านทานการกัดกร่อนได้มากขึ้นและสามารถแปรรูปได้ง่ายเพื่อช่วยลดต้นทุนของการผลิตรถยนต์ลง

ปัจจุบันเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนภายในปี 2030 ดูจะกลายเป็นจุดร่วมที่หลาย ๆ บริษัทต่างก็เริ่มวางแผนปรับเปลี่ยนสายการผลิตของตนให้สอดคล้องกับนโยบายความยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงทั่วโลกที่ทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคต่างก็ให้ความสำคัญ การร่วมมือครั้งนี้ของ Ford และ Tata steel จึงถือเป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่ในการผลักดันแนวคิดของการใส่ใจในสิ่งแวดล้อม

Jirapat R.
A Content Creator with multiple interests and a fitness enthusiastic.
READ MORE
×